TQM
ภาคปฏิบัติ: เทคนิคการแก้ปัญหาแบบ "สึยามา"
เรียบเรียงโดย ดร. ปริทรรศน์ พันธุ์บรรยงก์
สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. 2546
ความจริงผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบครับแต่อยากจะแนะนำให้ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์อ่านกันให้มากๆ
เพื่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่เป็นครูอย่างถูกต้องมากขึ้น
หนังสือเล่มนี้เรียบเรียงโดย ดร. ปริทรรศน์
พันธ์บรรยงก์ ผู้อำนวยการศูนย์โลหะและวัสดุแห่งชาติ หรือ MTEC ในสังกัดของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เนื้อหาของหนังสืออาจแบ่งได้เป็นสามตอน ตอนแรกเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวอาจารย์
สึยามาเอง ตอนที่สองคือรายละเอียดเนื้อหาทางสถิติที่อาจารย์สึยามาสอน
และตอนที่สามคือส่วนที่อาจารย์และนักวิชาการไทยกล่าวถึงอาจารย์สึยามา
สำหรับผมเองนั้นยังอ่านตอนที่สองไม่จบครับ
เนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับอาจารย์สึยาม่าเองนั้นน่าทึ่งมาก
เพราะอาจารย์สึยาม่าได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่เกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพการผลิตรถเกรด
รถแทรกเตอร์ และรถงานยี่ห้อโคมัตสุของญี่ปุ่น เริ่มจากการที่ท่านยังไม่ค่อยมีความรู้ด้านสถิติ
ต้องเรียนไปศึกษาไปจนกระทั่งท่านกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคุณภาพอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นไป
ความเชี่ยวชาญของท่านนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการกระตุ้นให้คิด และการผลักดันของผู้บริหารระดับสูงในสมัยที่ท่านยังเป็นพนักงานผู้น้อย
ส่วนหนึ่งเกิดจากความมุมานะศึกษาของตัวอาจารย์เอง และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากความสนใจในรายละเอียดลึกๆ
ในการปฏิบัติงานจนกระทั่งเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ผมคิดว่าเมืองไทยเราขาดองค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้
อย่างแรก ผู้บริหารของเราก็ไม่เก่งพอที่จะสอนหรือกระตุ้นให้ผู้น้อยคิด
เพราะผู้บริหารหลายคนก้าวไปสู่ตำแหน่งระดับสูงด้วยการกระโดดข้ามขั้นโดยใช้เส้นสายบ้าง
ใช้วิธีการประจบประแจงเลียแข้งเลียขา หรือใช้วิธีการทางลัดด้านการเมืองบ้าง
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้บริหารที่ผู้น้อยยอมรับจึงมีน้อยลงทุกที
อย่างที่สอง คนไทยเวลานี้ขาดความมานะพยายาม
อยากจะทำแต่เรื่องง่ายๆ เมื่อไปพบเรื่องยากก็ไม่อยากจะทำเสียแล้ว ผู้ใหญ่เองก็พยายามส่งเสริมเรื่องแบบนี้
เช่น การสอบคัดเลือกเข้าเรียนในระดับมัธยมฯก็บอกว่ามันยาก ทำให้เด็กเหนื่อย
เด็กเครียด เลิกเสียเถอะ จับฉลากเอาดีกว่า สอบเอ็นทรานซ์ก็เหมือนกัน
พอนักเรียนกลายมาเป็นนักศึกษา ก็ไม่อยากเรียนแต่กลับอยากสอบให้ผ่าน
ก็จะมาอ้อนวอนอาจารย์ให้ออกข้อสอบง่ายๆ ผมเองไปเกี่ยวข้องกับข้อสอบระดับปริญญาตรีและโทของหลายสถาบัน
เห็นข้อสอบแล้วอยากร้องไห้ เช่นข้อสอบวิชาโปรแกรมมิงนั้นมีแต่ให้เขียนโปรแกรมกระจอกๆ
ที่เด็กๆ เขาซ้อมมือกันเท่านั้น ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องบังคับให้เรียนไปทำไมในเมื่อไม่อยากเรียน
และการสอบก็เป็นของเล่นๆ พออายุครบตามปีทีกำหนดก็มารับวุฒิบัตร หรือ
ปริญญาบัตรไปเลยก็แล้วกัน แจกไปให้ถึงปริญญาเอกกันเลย เพราะขืนให้เรียนไปก็ไปจ้างเขาเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ดี
อย่างที่สาม คนไทยไม่เคยคิดอะไรที่ละเอียด
คิดเป็นแต่เรื่องฉาบฉวย เข้าใจว่าติดมาจากบรรดานักการเมืองฉาบฉวยที่ทำตัวเป็นตัวอย่างเวลามีการอภิปรายในสภา
เพราะดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้ไปหมด
ย้อนกลับมาเรื่องของอาจารย์สึยาม่ากันดีกว่า
ในช่วงใกล้เกษียณนั้น อาจารย์สึยาม่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลบริษัทฝึกอบรม
และจำเป็นต้องสร้างอาจารย์ขึ้น แนวคิดในการสร้างอาจารย์ขึ้นมาเพื่อสอนวิชาต่างๆแทนอาจารย์นั้น
น่าสนใจมากเลยครับ ท่านกำหนดขั้นตอนสำหรับฝึกคนเป็นอาจารย์ไว้อย่างนี้
- จะเป็นอาจารย์สอนวิชาอะไรจะต้องนั่งฟังอาจารย์สึยาม่าสอนอย่างน้อย 10 ครั้ง
- จะต้องบรรยายเนื้อหาเช่นเดียวกับการสอนจริงให้อาจารย์สึยาม่าฟังสองครั้ง
โดยอาจารย์สึยาม่าจะทำตัวเป็นผู้เรียน และซักถามปัญหาต่างๆ ให้ตอบให้ได้
พร้อมกันนั้นก็จะคอยวิจารณ์การบรรยายและให้คำแนะนำอื่นๆด้วย ขั้นตอนนี้จะต้องทำ
2 ครั้ง
- จะต้องฝึกภาคปฏิบัติ (ทำ Workshop กรณีศึกษา เพราะเนื้อหาวิชาที่สอนเน้นการนำกรณีศึกษามาวิเคราะห์) โดยอาจารย์สึยาม่าทำตัวเป็นนักเรียน ขั้นตอนนี้จะต้องทำ 2 ครั้ง
- บรรยายจริงในชั้นเรียน โดยอาจารย์สึยาม่าจะนั่งสังเกตการณ์ และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้นต่อไป
ผมอ่านแนวทางการฝึกอาจารย์ของอาจารย์สึยาม่าแล้ว
โดยเฉพาะอ่านส่วนที่คุณนิเวศน์ สุขสม ที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย
เขียนเล่าให้ฟังแล้ว ผมก็มีความรู้สึกว่าช่างเป็นการฝึกอาจารย์ที่ดีเยี่ยมอย่างยิ่ง
และมองเห็นจุดอ่อนในการสอนของมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งในเวลานี้ นั่นคือเรามักจะเชื่อกันผิดๆว่า
คนที่จบปริญญาเอกมาแล้วจะสอนวิชาอะไรก็ได้ (โดยเฉพาะในสายที่ตนเรียนมา)
ผมจำได้ว่าเมื่อเกือบสามสิบปีมาแล้ว ตอนผมจบปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมโครงสร้างได้ใหม่ๆ
หัวหน้าของผมมาสั่งให้ผมไปสอนวิชาการออกแบบฐานข้อมูล ตอนนั้นผมยังไม่เคยเรียนวิชาออกแบบฐานข้อมูลมาก่อน
ต้องรีบหาหนังสือฐานข้อมูลมาอ่านเป็นจ้าละหวั่น แต่แม้ผมจะอ่านเข้าใจ
ก็ไม่ซาบซึ้ง และไม่คิดว่าจะตอบคำถามแปลกๆ ที่นักศึกษาอาจจะถามได้ โชคดีที่ก่อนหน้าที่จะต้องสอนได้เล็กน้อย
ผมได้เข้าเรียนในหลักสูตรฐานข้อมูลของบริษัทไอบีเอ็ม ซึ่งมาเปิดศูนย์ฝึกอบรมที่เอไอที
และอนุญาติให้ผมเข้าไปร่วมฝึกอบรมเต็มวันสองสัปดาห์ได้ ทำให้ผมได้รับความรู้พื้นฐานมาเต็มอิ่ม
แต่การสอนครั้งแรกก็ยังไม่ราบรื่นเพราะยังมีประสบการณ์ในการสอนพอเพียงที่จะเชื่อมโยงเนื้อหาให้นักศึกษาเข้าใจ
ที่ยกเรื่องนี้มาพูดเพราะเป็นห่วงว่า
หัวหน้าภาควิชาทั้งหลายจะมอบหมายให้อาจารย์ต่างๆ สอนวิชาตามใจชอบ โดยอาจารย์ไม่เคยเตรียมตัวหรือไม่เคยฝึกสอนด้านนั้นมาก่อน
ถ้าอย่างนั้นผมก็เชื่อว่าการสอนก็คงจะล้มเหลวแน่นอน
นอกจากในด้านการฝึกอาจารย์แล้ว อาจารย์สึยาม่ายังให้มารยาทในการสอนไว้ดังนี้
- พูดและอธิบายโดยคำนึงถึงจุดยืนของผู้เรียนเสมอ
- วิทยากรต้องไม่นั่งเก้าอี้ระหว่างการสอน
- สร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนซักถามได้โดยอิสระ
- อย่าตอบข้อซักถามในลักษณะเป็นการสนทนาสองต่อสองเท่านั้น
- อย่าแก้ตัวหรือหลบเลี่ยงเมื่อตอบคำถามไม่ได้ ให้พูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปให้ชัดเจน
- ยกตัวอย่างในคำอธิบายให้มากๆ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงจะดีมาก
- สิ่งสำคัญ อย่าอธิบายโดยใช้คำพูดอย่างเดียว ให้เขียนตัวอย่างบนกระดานหรือแผ่นใสด้วย
- ในส่วนของเครื่องมือ อย่าโลภมากในการสอนทฤษฎีจนมากมายเกินไป
- ข้อสรุปของการแก้ไขปัญหา อย่าใช้ภาษาทางสถิติ แต่ให้สรุปตัวอย่างจริงด้วยข้อตัดสินที่เป็นรูปธรรมต่อเนื่องไปสู่การปฏิบัติได้
- รักษาเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดอย่างเคร่งครัด
เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำด้านมารยาทการสอนของอาจารย์สึยาม่าในบางข้อ
อาจเป็นพราะเราคิดว่าวัฒนธรรมของไทยกับญี่ปุ่นไม่เหมือนกัน ไม่เป็นไรครับ
นั่นย่อมสุดแท้แต่ความเห็นของแต่ละคน แต่ลองนำไปพิจารณาดูก็แล้วกันครับ
หนังสือเล่มนี้มีเรื่องน่าสนใจให้ศึกษาหลายเรื่อง ลองหามาศึกษาดูนะครับ
|