Current Duties
Courses
ICT Ideas
ICT Education
ICT Management
ICT Principles
ICT Standards
ICT Vocabulary
CMM / CMMI
Case Studies
General Articles
Presentations
Book Reviews
Buddhism
Personal Efficiency
Writing Guides
Research Guides
VIP
Q & A
Contacts
Archive
Seminars
คำแนะนำด้านการเรียน
ข้อสอบสนุก

 

Home
IT Idea for Spiritization

พลังการเรียนรู้ : ในกระบวนทัศน์ใหม่
รองศาสตราจารย์ ดร. วิชัย วงษ์ใหญ่
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2542

          ช่วงนี้ผมต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการศึกษาค่อนข้างมาก ไม่ใช่เพราะเป็นนักการศึกษาหรอกครับ แม้ผมจะเป็นอาจารย์สอนระดับบัณฑิตศึกษามานานกว่าสามสิบปี แต่นักการศึกษาระดับมืออาชีพเขา ไม่ยอมคิดว่าผมมีความรู้ทางด้านนี้มากพอที่จะเป็นนักการศึกษาได้ ผมเพียงแต่สนใจในฐานะเป็นคนไทยที่จะอยากเห็นการศึกษาได้รับการปรับปรุง เพราะทุกวันนี้ต้องกลุ้มใจกับความสามารถและผลงานของเด็กรุ่นใหม่ ที่เข้ามาทำงานกับผมมากทีเดียว พูดก็พูดเถอะครับ แม้แต่บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง ก็ยังมีความสามารถต่ำกว่าความคาดหวังของผมมาก โลกนี้ก้าวหน้าได้ด้วยการคิดค้นเรื่องใหม่ๆ โดยเด็กรุ่นหลังที่ต้องเก่งกว่าผู้ใหญ่ หากเด็กไทยแต่ละรุ่นมีความสามารถด้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ

          อย่าลืมนะครับว่า โลกกำลังก้าวไปสู่สังคมความรู้ สังคมที่เราจะต้องใช้ความรู้ในการดำรงชีวิต ในการทำงาน ในการทำธุรกิจ ในการแข่งขันระหว่างธุรกิจและระหว่างประเทศ หากประเทศใดไม่สามารถก้าวเข้าสู่สังคมความรู้ได้ ก็เป็นการยากที่จะไปแข่งขันกับประเทศอื่นได้ หนทางเดียวที่จะแก้ไขเรื่องความด้อยความสามารถของเยาวชนของเราได้ ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่เองที่ทำให้เราได้ยินเรื่องของการปฏิรูปการศึกษา ไปจนถึงเรื่องครูประท้วงไม่ยอมไปสังกัดกับ อบต.

          หนังสือเรื่อง พลังการเรียนรู้เล่มนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยตรง เนื้อหาหลักที่ ดร. วิชัย ต้องการบอกพวกเราก็คือ เราจะใช้วิธีการสอนเยาวชนของเราแบบเดิมไม่ได้แล้ว เราจะต้องเปลี่ยนแนวทางการสอนเป็นแบบใหม่ หรือกระบวนทัศน์ใหม่ คำว่ากระบวนทัศน์นี้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า paradigm แต่ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าใครคิดใช้คำนี้ก่อน ฟังดูก็ดีเหมือนกันแม้ความหมายจะไม่ตรงนัก เอาเป็นว่ากระบวนทัศน์ก็คือ paradigm

          การเปลี่ยนแนวทางใหม่นี้ ดร. วิชัย ประกาศว่า "ก่อนจะย่างก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เราจะต้องสร้างสังคมของเราให้สามารถเชื่อมโยงความรู้กับปัญญาเข้าด้วยกัน และนำคุณค่าของแต่ละสิ่งมาเกื้อกูลกันเป็นชีวิตที่อยู่ ด้วยปัญญาเป็นชีวิตที่ประเสริฐสุด" ทั้งนี้เพราะ ดร. วิชัย เห็นว่า สังคมข่าวสารข้อมูล หรือ สังคมสารสนเทศนั้นมีแต่การบริโภคข่าวสาร ศึกษาและแลกเปลี่ยนข่าวสาร ไม่มีการศึกษาวิเคราะห์ย่อยข่าวสารสร้างเป็นองค์ความรู้ ความเห็นเช่นนี้ออกจะแปลก เพราะผมเห็นว่ามนุษย์เราได้สร้างองค์ความรู้ขึ้นตลอดเวลานับตั้งแต่ก่อนยุคเกษตร ไม่ใช่มาสร้างองค์ความรู้ในยุคความรู้ ความหมายที่แท้จริงของยุคความรู้ก็คือ คนส่วนมากดำรงชีพหรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับความรู้ และความรู้เป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติงานดังกล่าวมาแล้ว

          การจัดการศึกษาตามกระบวนทัศน์ใหม่ในทัศนะของ ดร. วิชัย นั้นหมายถึงการทำให้เกิด "การเรียนรู้ตามสภาพจริง (authenticity learning) การประเมินผลตามสภาพจริง รวมทั้งบทบาทของผู้สอนเป็นผู้อำนวยกระตุ้นการเรียนรู้ (facilitator) เป็นนักจัดการเรียนรู้เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามความสนใจตามถนัดและความต้องการนั้น เป็นการเสริมสร้างศักยภาพของแต่ละบุคคลให้เจริญสูงสุด..โดยมีเป้าหมายให้เป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข"

          ดร. วิชัยเห็นว่าบุคคลที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 จะต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ คือ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการสื่อสาร การสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น มีความสามารถในการเรียนรู้ มีค่านิยมในการตัดสินใจที่ถูกต้อง มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมสมัยใหม่

          ในด้านการเป็นคนดีนั้น ดร. วิชัยระบุว่า ตัวบ่งชี้พฤติกรรมคนดี ได้แก่ ความมีวินัยและค่านิยมประชาธิปไตย ตัวบ่งชี้อย่างหลังนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะดร.วิชัยนำเอาชื่อลัทธิการปกครองแบบหนึ่งมาใช้ ในขณะที่ตัว ดร.วิชัยเองก็ระบุต่อไปว่า ตัวบ่งชี้ความเป็นประชาธิปไตย ก็คือ การเห็นคุณค่าตนเองและผู้อื่น เคารพสิทธิและป้องกันสิทธิของตนเองและของผู้อื่น ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีเหตุผล เคารพกติกาของสังคม ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็น ตัวบ่งชี้เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องชี้ไปที่ค่านิยมประชาธิปไตยอย่างเดียว ประเทศอีกหลายประเทศที่มีลัทธิการปกครองแตกต่างไปจากประชาธิปไตยก็มีคนดีอยู่ไม่น้อย

          สำหรับการเป็นคนเก่งนั้น ดร. วิชัยอ้างถึงเรื่องพหุปัญญา ที่ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วในบรรณพิจารณ์ตอนหนึ่ง และ ดร. วิชัยได้ชี้แนะในส่วนท้ายของหนังสือว่า การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีปัญญาหรือศักยภาพแตกต่างกันนั้นจะทำได้อย่างไร

          ในส่วนที่สองของหนังสือนั้น ดร. วิชัยอธิบายความเจริญเติบโตของสมองแต่ละส่วน พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า สมองแต่ละส่วนนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความคิดและความรู้สึก เมื่อเด็กทารกเริ่มถือกำเนิดขึ้นนั้น สมองจะเริ่มเจริญเติบโตพร้อมกับสร้างทักษะในการทำงานขึ้นจากสมองชั้นในมาสู่ชั้นกลางและสมองชั้นนอก และในที่สุดสมองซีกซ้ายและขวาก็จะทำงานต่างกัน โดยสมองซีกซ้ายมีศักยภาพเกี่ยวกับภาษา การฟัง ความจำ การวิเคราะห์เหตุผล การจัดลำดับ การคิดคำนวณ สัญลักษณ์ เหตุผลเชิงตรรกและวิทยาศาสตร์ ส่วน สมองซีกขวา มีศักยภาพเกี่ยวกับจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ความรู้สึกรับรู้ภาพรวม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส ไม่มีลำดับก่อนหลัง ศิลป สุนทรี รูปทรง รูปแบบ สี ดนตรี มิติสัมพันธ์ และ การเคลื่อนไหว ดร. วิชัยได้กล่าวถึงลักษณะการเรียนรู้ของผู้ที่มีความถนัดของสมองซีกซ้ายและขวาต่างกันเอาไว้ด้วย แต่ผมจะไม่นำมากล่าวถึงในที่นี้

          ประเด็นหลักเกี่ยวกับกระบวนทัศน์ใหม่ก็คือ การเรียนการสอนที่ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง กระบวนการนี้ประกอบด้วย

  • ผู้สอนมีความเชื่อว่า ความรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา
  • การเรียนรู้ผู้เรียนเป็นผู้กระทำ หรือดำเนินการเรียนเอง
  • มีการปรับเปลี่ยนจากเนื่อหามาสู่กระบวนการ
  • มีการพัฒนาแบบองค์รวม โดยจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้โดยผู้เรียนเป็นผู้กระทำ
  • กิจกรรมการเรียนเป็นโครงสร้างแบบเปิด เป็นวงจรการเรียนรู้
  • มีการประเมินในขณะดำเนินการเรียนการสอน

          สำหรับการจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้นั้น ดร. วิชัย อธิบายว่าประกอบด้วย

  • การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิดหลัก (Main concept)
  • ส่งเสริมให้ผู้เรียนติดตามสิ่งที่น่าสนใจ และ สร้างความเชื่อมโยงกับแนวคิดหลัก
  • ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญ
  • สร้างโอกาสให้ผู้เรียนค้นพบด้วยตัวเอง และ ให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวิธีการแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน
  • ยอมรับว่ากระบวนการเรียนรู้และกระบวนการประเมินการเรียนรู้เป็นสิ่งที่จะต้องพัฒนาอยู่เสมอ
          ผมเองยังไม่ค่อยเห็นด้วยมากนักว่า กระบวนทัศน์นี้จะถูกต้องและใช้การได้หมดในการเรียนการสอนทุกวิชา หรือ สอนทุกระดับชั้น ในทางตรงกันข้ามหากครูผู้สอนไม่มีความเข้าใจในกระบวนทัศน์นี้แล้ว โอกาสที่จะทำให้การเรียนรู้เสียหายย่อมมีมากกว่ากระบวนทัศน์แบบเก่า ขณะนี้ผมกำลังเริ่มทดลองสอนแบบให้นักศึกษาเป็นศูนย์กลางอยู่ ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะออกมารูปแบบไหน เพราะเป็นการทดลองที่ยุ่งยากพอสมควร นักศึกษาเองก็ยังไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาต้องทำงานมากขึ้น แทนที่จะเข้ามาฟังผมพูดพล่าม ก็จะต้องเข้ามาทำงานเพิ่มอีกมาก เรื่องนี้คงจะต้องติดตามต่อไปว่ากระบวนทัศน์ที่ ดร. วิชัย เสนอนี้ผมจะรับไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่

Back