Current Duties
Courses
ICT Ideas
ICT Education
ICT Management
ICT Principles
ICT Standards
ICT Vocabulary
CMM / CMMI
Case Studies
General Articles
Presentations
Book Reviews
Buddhism
Personal Efficiency
Writing Guides
Research Guides
VIP
Q & A
Contacts
Archive
Seminars
คำแนะนำด้านการเรียน
ข้อสอบสนุก

 

Home
IT Idea for Spiritization

หยาดเพชร หยาดธรรม ภูมิปัญญาเพื่อการศึกษาไทย
พระธรรมปิฎก
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
ธันวาคม 2541

           ในบรรดาพระภิกษุที่ทรงศีลเป็นที่เคารพนับถืออย่างสนิทใจในปัจจุบันนี้ เห็นทีจะไม่มีใครเกิน ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกเป็นแน่ ผมเองได้เคยอ่านผลงานพุทธธรรมฉบับย่อมาก่อนที่ท่านจะขยายความต่อเป็นหนังสือระดับ Masterpiece ทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดในรอบหลายร้อยปีของไทย เมื่ออ่านแล้วก็ได้ตระหนักถึงความคิดอันลุ่มลึกอย่างน่าอัศจรรย์ของพระคุณเจ้า และแน่นอนที่สุดนั่นเป็นหนังสือที่ไม่อาจอ่านและย่อยได้ภายในชั่วชีวิตของเราๆ ท่านๆ

          ในโอกาสที่พระคุณเจ้ามีอายุครบ 60 ปี ในวันที่ 12 มกราคม 2542 ทางกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้รวบรวมสาระนิพนธ์ทางด้านการศึกษาของท่านมาจัดพิมพ์ขึ้น โดยรวบรวมเฉพาะส่วนอันเป็นสาระสำคัญที่ท่านได้นิพนธ์ไว้ในบทนิพนธ์ต่างๆ จำนวนมากมาไว้ที่เดียวกัน การทำเช่นนี้นับเป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่เพราะทำให้เราได้ทราบความคิดเห็นอันเอนกอนันต์ของท่าน อีกทั้งยังได้อรรถรสจากสาระนิพนธ์ที่ท่านได้กลั่นกรองไว้อย่างดียิ่ง

          ผมไม่มีปัญญาพอที่จะกลั่นกรองเนื้อหาสาระทางด้านการศึกษาที่พระคุณเจ้าได้นิพนธ์ไว้ แต่จะขอหยิบยกข้อความบางตอนที่สำคัญมาให้พิจารณาใคร่ครวญ

          ในเรื่อง การศึกษากับการดำเนินชีวิต ท่านกล่าวว่า "การฝึกหัดพัฒนาคนและพัฒนาตนให้เดินอยู่และเดินไปในวิถีชีวิตที่ถูกต้องดีงามนั้น เรียกว่า สิกขา หรือ การศึกษา… มี ๓ ด้าน คือ

          (๑) ฝึกฝนพัฒนาในด้านการแสดงออกทางกายและวาจา (อธิศีล)
          (๒) ฝึกฝนพัฒนาในด้านคุณภาพ สมรรถภาพ และ คุณภาพจิต (อธิจิต)
          (๓) ฝึกฝนพัฒนาในด้านปัญญา (อธิปัญญา)
          จึงเรียกว่า ไตรสิกขา หรือการศึกษา ๓ ด้าน"

          ในด้านความหมายของการศึกษานั้น ท่านได้ชี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า "ที่จริง คำว่า ศึกษา เป็นการปฏิบัติ ไม่ใช่เล่าเรียน เล่าเรียนเป็นเบื้องต้นของการศึกษา ถ้าพูดให้เต็มก็คือ เรียนให้รู้เข้าใจ และทำให้ได้ ให้เป็น หรือ เรียนรู้และฝึกทำให้ได้ผล จึงจะเรียกว่าการศึกษา ไม่ใช่เรียนแต่เนื้อหาวิชาอย่างเดียว" ผมคิดว่าบรรดานักศึกษาปริญญาโทด้านไอทีทั้งหลายควรจะสำเหนียกในเรื่องนี้ให้มาก เพราะนักศึกษาหลายคนที่ผมพบมานั้นไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลย กลับคิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรจึงจะได้ปริญญาบัตรมาง่ายๆ เท่านั้น แม้แต่ความรู้เองก็ยังไม่สนใจที่จะเรียนรู้ด้วยซ้ำ

          ในเรื่องจุดมุ่งหมายของการศึกษา พระคุณเจ้าได้นิพนธ์ไว้ว่า " การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ชีวิตเข้าถึงอิสรภาพ คือทำให้ชีวิตหลุดพ้นจาก อำนาจครอบงำ ของปัจจัยแวดล้อมภายนอกให้มากที่สุดและมีความเป็นใหญ่ในตัวในการที่จะกำหนดความเป็นอยู่ของตนให้ได้มากที่สุด"

          และอีกตอนหนึ่ง "ถ้ามีใครถามว่าจะศึกษาไปเพื่ออะไร ก็เห็นจะตอบได้ง่ายๆ ว่า ศึกษาเพื่อประโยชน์แก่ชีวิต… ชีวิตมีจุดมุ่งหมายอย่างไร การศึกษาก็เพื่อให้ชีวิตถึงจุดหมายอย่างนั้น หมายความว่า จุดหมายของการศึกษาเป็นสิ่งเดียวกันกับจุดหมายของชีวิต"

          ในด้านปัญหาพื้นฐานของการศึกษานั้น ท่านได้นิพนธ์ไว้ว่า "เมื่อพูดถึงปัญหาการศึกษานั้น จะต้องมองไปที่ปัญหาของสังคมทั้งหมด หรือปัญหาทั้งโลก ฉะนั้น จะต้องแยกให้ถูกต้อง เราจะนึกถึงปัญหาการศึกษาวนอยู่ในวงการของการศึกษาเท่านั้นไม่ได้…การที่จะใส่ใจ เอาใจใส่ต่อปัญหาการศึกษาก็คือ การมองปัญหาของสังคมทั้งหมดหรือทั้งโลก เพราะว่าปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เราพูดได้ว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากคน แล้วการศึกษาก็มีหน้าที่ที่จะสร้างคนหรือพัฒนาคน ทำให้เป็นคนดีมีคุณภาพ ถ้าคนยังมีปัญหามาก ก็แสดงว่าการศึกษายังทำหน้าที่ได้ไม่สำเร็จผลด้วยดี"

          ปัจจุบันนี้เราอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะนักคอมพิวเตอร์ยิ่งต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในเรื่องนี้พระคุณเจ้ากล่าวว่า "การศึกษามีความมุ่งหมายประการหนึ่ง คือไม่ให้คนเป็นทาสของความเปลี่ยนแปลง แต่ให้เป็นผู้สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้ คือให้เป็นอิสระอยู่เหนือการถูกกระทบกระแทกชักพาโดยการเปลี่ยนแปลง และกลับนำความรู้เท่าทันต่อเหตุปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงนั้นมาชี้นำจัดสรรความเปลี่ยนแปลง ให้เป็นไปในทางที่เป็นผลดีแก่ตนได้"

          เนื้อหาแต่ละหน้าในเล่มนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่จะต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราก็คือหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านไปทีละตอนอย่างช้าๆ และพินิจพิเคราะห์ สำหรับในที่นี้ผมขอจบลงด้วย "..ระยะนี้ชอบพูดกันว่า จะต้องรีเอนยิเนียริง หรือ รื้อปรับระบบและกระบวนการทำงานกันใหม่ แต่แค่นั้นไม่พอ เราบอกว่าจะต้องพัฒนาคนเพื่อเป็นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ถ้าจะให้การพัฒนายั่งยืนได้จริง สิ่งที่จะต้องรีเอนยิเนียริง ก็คือต้องรื้อปรับระบบและกระบวนการพัฒนาคนนั่นเองกันใหม่ทั้งหมด"

Back