ผมเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องหลง ๆ
ลืม ๆ อยู่เป็นประจำ
บางครั้งวางกำหนดการประชุมไว้ในห้องหนึ่งแผ่นเพื่อจะเตรียมนำไปเข้าประชุม
พอได้เวลาเข้าประชุมก็เดินไปเข้าห้องประชุมเลย
ไม่ได้หยิบกำหนดการประชุมไปด้วย นั่นคือลืมหยิบไปด้วยทั้ง ๆ
ที่บอกตัวเองไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่าลืม
บางครั้งก็ไม่ลืมที่จะหยิบ แต่ลืมไปว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน
เป็นอันว่าต้องไปเข้าประชุมมือเปล่าอีกเหมือนกัน
เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องนี้
ผมจึงต้องสั่งให้เลขาเตรียมเอกสารให้ก่อนไปประชุม
แต่ก็เกิดเรื่องได้อีกเหมือนกันคือบางครั้งเลขาของผมเองก็ยุ่งอยู่กับการรับโทรศัพท์หรืองานอื่น
ๆ จนลืมหยิบเอกสารการประชุมส่งให้ผม
ปัญหาเรื่องการหลง ๆ ลืม ๆ
นี้เป็นธรรมชาติของคนส่วนมาก
อีกนัยหนึ่งก็คือเป็นปัญหาเรื่องการขาดสตินั่นเอง
มีเรื่องเล่าของนิกายเซ็นเรื่องหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความหมายของสติได้ดี
เรื่องมีอยู่ว่า ท่านอาจารย์เซ็นผู้หนึ่งได้ปฏิบัติธรรม
ฝึกสมาธิ และขบคิดใคร่ครวญปัญหาธรรม (โกอัน)
จนคิดว่าตนเองเข้าใจธรรมะเป็นอย่างดีแล้ว
วันหนึ่งท่านจึงได้เดินทางไปหาท่านอาจารย์เซ็นผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่งเพื่อจะได้สนทนาธรรมกัน
เมื่อท่านไปกราบท่านอาจารย์เซ็นผู้เฒ่าแล้ว
ท่านอาจารย์เฒ่าก็ถามว่า
เมื่อตอนที่ท่านเข้ามาในห้องนั้นได้วางร่มไว้ทางด้านซ้ายมือหรือขวามือของรองเท้า
ท่านอาจารย์เซ็นผู้เดินทางมาเยี่ยมเยือนตอบไม่ได้และตระหนักทันทีว่าท่านยังขาดสติอยู่
จึงรีบกราบลาท่านอาจารย์เฒ่าเพื่อกลับไปฝึกสติต่อไป
คนไทยจำนวนมากก็ได้รับการสั่งสอนให้ฝึกสติเป็นประจำอยู่แล้ว
แต่พวกเรามักจะไปเน้นการฝึกสติระหว่างการเข้าปฏิบัติธรรมในวัด
หรือระหว่างการไปฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
โดยเฉพาะก็คือการฝึกสติปัฏฐาน
น่าเสียดายที่หลายคนฝึกสติเฉพาะในช่วงที่เข้ากรรมฐานเท่านั้น
ไม่ได้ฝึกสติเป็นประจำทั้ง ๆ
ที่พระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐานนั้นหากอ่านให้ดีแล้วก็จะพบว่าเป็นเรื่องของการฝึกสติในชีวิตประจำวันนี่เอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงเห็นว่าการสอนของพระในนิกายเซ็นนั้นเน้นเรื่องการฝึกสติในชีวิตประจำวันมากยิ่งกว่าทางนิกายเถรวาทของเรา
อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะนำมากล่าวถึงก็คือหนังสือเรื่อง
ปาฏิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ
หนังสือเล่มนี้ท่านผู้แต่งเป็นพระภิกษุชาวเวียดนาม ชื่อ ติช นัท
ฮันต์ ท่านผู้นี้นิพนธ์หนังสือไว้หลายเล่ม
และมีผู้แปลเป็นภาษาไทยไว้หลายเล่มแล้วเช่นกัน
เล่มที่กล่าวถึงชื่อมานี้ท่านได้แต่งไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังมีสงครามเวียดนามอยู่
และท่านต้องยุ่งเกี่ยวกับการสั่งสอนชาวเวียดนามให้คลายจากความระทมทุกข์
เคล็ดลับของการตื่นอยู่เสมอก็คือการมีสติทุกอิริยาบถนั่นเอง
อีกนัยหนึ่งการที่เราหลง ๆ ลืม ๆ
จำไม่ได้ว่าทำอะไรไปบ้าง จำไม่ได้ว่าวางกระดาษเอกสารไว้ที่ไหน
วางร่มไว้ที่ไหน ก็คือการที่เราอยู่ในความหลับใหล
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไร
พูดอะไร คิดอะไร และนั่นทำให้เกิดปัญหาอันใหญ่หลวงแก่ตนเอง
การป้องกันความหลงลืมของตนเองนั้นทำได้หลายวิธี เช่น
การจัดระบบงานของตนเองให้เป็นระเบียบ
หนังสือเข้าที่ยังไม่ได้อ่านพิจารณา หนังสือที่สั่งการแล้ว
หนังสือที่จะต้องตอบ หนังสือเชิญประชุม รายงานการประชุม ฯลฯ
เหล่านี้หากจัดให้เป็นระบบได้แล้ว
เราก็ไม่ต้องพะวงว่านำเอกสารเรื่องนั้น ๆ ไปวางไว้ที่ไหน
หากต้องการหาเมื่อใดก็สามารถค้นหาได้ง่ายขึ้นโดยการระลึกว่าได้ทำอะไรกับเอกสารนั้นบ้างแล้วหรือไม่
จากนั้นก็ค้นหาจากกลุ่มเอกสารที่จัดระบบไว้ได้ทันที
อีกวิธีหนึ่งก็คือการทำรายการตรวจสอบ หรือ Check List ที่สำคัญ
ๆ ของตนเองไว้ ยกตัวอย่างเช่น
ในการที่จะต้องเดินทางไปตรวจเยี่ยมสาขา เราจะต้องนำสิ่งใดไปบ้าง
ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เราก็จัดเตรียมรายการไว้ล่วงหน้า
เมื่อถึงเวลาก็ตรวจว่าได้นำสิ่งที่ต้องการไปให้ครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม
แม้จะทำงานอย่างมีระบบก็แล้ว จัดเอกสารอย่างมีระบบก็แล้ว
เราก็ยังอาจจะมีอาการหลงลืมได้อีกเหมือนกัน
นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ใส่ใจกับงานเฉพาะหน้า
เช่นทำงานอย่างหนึ่งอยู่แท้ ๆ แต่กลับไปคิดถึงงานอื่น
หรือนึกถึงนัดหมายอื่น ๆ
ดังนั้นสติจึงไม่ได้จับอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่
เมื่อเอาเอกสารไปวางไว้ ณ
จุดที่ไม่ควรจะวางโดยตัวเองไม่รู้ตัวเสียแล้ว
เมื่อต้องการจะได้เอกสารมาพิจารณาอีกก็จำไม่ได้ว่านำไปวางไว้ที่ไหน
วิธีแก้ไขปัญหานี้ก็คือจะต้องพยายามเอาใจใส่กับงานที่ทำอยู่ตลอดเวลา
อย่าพยายามทำงานหลายงานพร้อมกัน
คำแนะนำนี้ค่อนข้างจะปฏิบัติได้ยาก
เพราะทุกวันนี้มีเครื่องมือที่ช่วยให้เราขาดสติได้หลายอย่าง
ขณะทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่และมีผู้โทรศัพท์เข้ามา
เราก็จำเป็นจะต้องรับโทรศัพท์
นั่นจะทำให้เราเผลอและขาดสติไปจากงานที่ทำอยู่ไปชั่วขณะ
เมื่อเราตอบโทรศัพท์แล้วเราอาจจะครุ่นคิดถึงเรื่องที่พูดทางโทรศัพท์จนลืมเรื่องที่กำลังทำอยู่เฉพาะหน้าก็ได้
เพื่อแก้ปัญหานี้
ขอแนะนำให้ท่านมีกระดาษหรือสมุดจดโน้ตวางไว้ใกล้มือ
เมื่อรับโทรศัพท์แล้วให้พิจารณาว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่
หากสำคัญก็ให้รีบสนทนาและบันทึกการสนทนานั้นไว้คร่าว ๆ
เพื่อไม่ให้ลืมเรื่องสำคัญนั้น
หากไม่สำคัญมากนักแต่จำเป็นจะต้องสนทนาด้วยก็ให้ถามหมายเลขโทรศัพท์แล้วจดไว้เพื่อจะได้เรียกกลับไปสนทนาเรื่องนี้ในภายหลัง
จากนั้นก็หันกลับมาสนใจเรื่องที่ยังค้างอยู่โดยสติที่จดจ่อกับเรื่องเดิมนั้นยังไม่ทันขาดหายไปมากนัก
การฝึกฝนสติให้จดจ่อกับงานต่าง ๆ
ที่ทำอยู่นั้นเป็นเรื่องจำเป็นมาก
ทุกวันนี้พวกเราหลายคนอาจจะเสียนิสัย
หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสร้างนิสัยผิด ๆ มาตั้งแต่เด็ก
นั่นก็คือเปิดเพลงฟังไปด้วยอ่านตำราไปด้วย
หรือเปิดโทรทัศน์พร้อมกับทำการบ้าน
การทำเช่นนี้นักจิตวิทยาบอกว่าดีเป็นการผ่อนคลาย
แต่ผมว่าไม่ดีเพราะทำให้ตัวเราเองไม่ค่อยมีสมาธิกับงานที่กำลังทำอยู่
ผลงานที่ทำไม่ค่อยมีคุณภาพ
หากเป็นการอ่านตำราก็จะจำเนื้อหาไม่ใคร่ได้
ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าอย่าสร้างนิสัยในอันที่จะทำให้ขาดสติเช่นนี้
หากต้องการฟังเพลงก็ไม่ต้องทำอย่างอื่น
ให้ตั้งหน้าตั้งตาฟังเพลงให้ซาบซึ้งถึงสุนทรียรสของเพลงนั้นโดยไม่ต้องทำงานอื่นควบคู่ไปเลย
การฝึกฝนสตินั้นเป็นเรื่องไม่ยาก
แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายนัก
ผู้ที่สนใจฝึกสติอย่างจริงจังควรจะศึกษาจากตำรับตำราทางพุทธศาสนาที่มีอยู่มากเล่มด้วยกัน
อย่าไปมองว่าคร่ำครึ
เพราะอันที่จริงแล้วพุทธศาสนานั้นสอนเรื่องชีวิต
และการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
หากท่านจะไปศึกษาเมื่ออายุมากแล้วท่านจะเสียดายที่ไม่ได้รู้จักใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามาก่อน
|