Current Duties
Courses
ICT Ideas
ICT Education
ICT Management
ICT Principles
ICT Standards
ICT Vocabulary
CMM / CMMI
Case Studies
General Articles
Presentations
Book Reviews
Buddhism
Personal Efficiency
Writing Guides
Research Guides
VIP
Q & A
Contacts
Archive

คำแนะนำด้านการเรียน
ข้อสอบสนุก

       

 

Home
IT Idea for Spiritization

คำทักทาย ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2548

สวัสดีครับ

           ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ ผมได้มีโอกาสไปดูงานที่เกาหลีกับนักศึกษามินิเอ็มบีเอของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงขอถือโอกาสนี้เล่าความประทับใจให้ฟังสักเล็กน้อย

           ผมไปเกาหลีครั้งแรกเมื่อนานเกือบสามสิบปีมาแล้ว ช่วงนั้นเกาหลีมีความสามารถไล่เรี่ยกับไทย เคยส่งนักศึกษามาเรียนที่ไอไอทีหลายคน ทำให้ผมพลอยมีลูกศิษย์เป็นชาวเกาหลีหลายคนตามไปด้วย แต่เวลานี้ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหนบ้างแล้วเพราะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

           ต่อมาผมก็มาประชุมวิชาการด้านไอทีที่เกาหลีบ้าง แต่ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปดูเมืองอื่นๆ เลยนอกจากกรุงโซล มาคราวนี้ได้เดินทางไปหลายเมืองและพบเห็นว่าในช่วงเวลาสองทศวรรษเศษ เกาหลีได้พัฒนาไปไกลกว่าประเทศไทยมากทีเดียว เมืองใหญ่ ๆ ของเขามีถนนหนทางกว้างขวาง มีธุรกิจใหญ่น้อยมากมาย และเท่าที่ดูก็รู้สึกว่าผู้ คนจะมีความสุขดีแม้ว่าน้ำมันจะแพงขึ้นไปถึงลิตรละเกือบหกสิบบาท

          เท่าที่สอบถามมา ผมเชื่อว่า การที่เกาหลีใต้ก้าวไปเร็วมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรักชาติรักประเทศ ความมีระเบียบวินัย และ ความเห็นแก่ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนตัว

          ผมคิดว่าความรักชาติต่างจากชาตินิยมแบบไม่ลืมหูลืมตา หรือการคลั่งในเชื้อชาติแบบสุดกู่เหมือนสมัยฮิตเลอร์ ความรักชาติที่ผมหมายถึงนั้น หมายถึงความรักในมนุษย์ทุกเชื้อชาติศาสนา ทำงานอย่างเข้มแข็งจริงจัง ประหยัด แต่ขณะเดียวกันก็มีความปรารถนาที่จะให้ประเทศของเราก้าวหน้า มีความมั่งคั่งยั่งยืน และ ต้องการสงวนรักษาทรัยพากรธรรมชาติของประเทศไว้ให้ลูกหลานในอนาคตไม่ว่าจะกี่ร้อยปีพันปี

          เท่าที่ดูคนไทยที่เป็นใหญ่เป็นโตทุกวันนี้ดูเหมือนจะทำตรงกันข้ามกับที่ผมพูดมานี้หมด และพลอยเป็นตัวอย่างอันเลวร้ายแก่เยาวชนในปัจจุบัน

          ความจริงแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงอันดีที่สุดที่ประเทศไทยจะก้าวหน้าจากสภาพตกต่ำด้านเศรษฐกิจไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านได้ ผมเชื่อในศักยภาพและความสามารถของท่านนายกฯ แต่ลำพังท่านคนเดียวทำอะไรไม่ได้ดอกครับ จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากบรรดาผู้อยู่ใกล้ชิดที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายเพื่อประเทศชาติ บังเอิญเรื่องราวต่าง ๆ ที่หลุดมาสู่ประชาชนนั้นล้วนบ่งชี้ในทำนองที่ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเสียใจและความจริงผมว่าถึงระดับที่อาจเรียกว่าฝันสลายก็ได้ครับ

          เมื่อยี่สิบปีมาแล้ว เพื่อนอาจารย์ชาวฝรั่งเศสของผมได้ขอยืมหนังสือศาสนาพุทธไปอ่านแล้วกลับมาบอกผมว่า ดีมาก แต่ขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือพุทธศาสนาสอนเรื่องสังคมน้อยไป ผมไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาถึงระดับที่จะไปชี้แนะเขาได้ ก็ได้แต่รับฟังและเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเรื่อยมา แม้ขณะนี้ผมจะเข้าใจมากขึ้นและทราบว่าพระพุทธองค์ก็ทรงสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว และชุมชนเอาไว้มาก แต่ขณะนี้ผมทราบแล้วว่าพระพุทธองค์ทรงตระหนักว่าสังคมล้วนประกอบด้วยคนแต่ละคน หากคนแต่ละคนไม่ดี ทำอย่างไรสังคมก็ไม่มีทางดีไปได

          มาถึงตรงนี้แล้ว ผมจึงอยากเชิญชวนมิตรสหายของผมว่า อย่าไปรอให้ท่านนายกฯ ปรับปรุงพัฒนาอะไรต่อมิอะไรที่ท่านกล่าวถึงบ่อยๆ เลยครับ เรามาพัฒนาตัวเราเองดีกว่า เราต้องถามตัวเราเองว่า เราได้ประพฤติถูกทำนองคลองธรรมหรือไม่ เราขวนขวายทำกิจที่ควรทำหรือไม่ เรายังประมาทอยู่หรือไม่ เริ่มที่ตัวเราเองนี่แหละครับ แล้วช่วยกันเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไปให้มากๆ ผมเชื่อว่านี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเราจะช่วยกันได้ ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วเราจะไม่สามารถทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศพัฒนาได้ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เป็นตัวถ่วงใครครับ

          สำหรับในคราวนี้ผมนำบทความน่าสนใจมาลงด้วย ใครสนใจลองเปิดอ่านเองครับ

 

 

 

ครรชิต มาลัยวงศ์

 

Back