วันพ่อแห่งชาติ
เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2547
ท่านอาจารย์ มาลินี พุคยาภรณ์
ผู้รับใบอนุญาต
มหาวิทยาลัยศรีปทุมและกรรมการสภามหาวิทยาลัยศรีปทุมได้คุยกับผมว่าอยากจะให้ผมได้รับรางวัลพ่อตัวอย่างแห่งชาติ
ผมเองก็ไม่คิดฝันว่าจะได้รับเกียรตินี้
เพราะจากการสังเกตข่าวต่าง ๆ
ก็ทราบว่าผู้ได้รับการยกย่องนั้นส่วนมากก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่หรือนักการเมือง
มีจำนวนมากที่เป็นพ่อตัวอย่างจากต่างจังหวัดแต่ก็ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร
แต่เมื่อท่านบอกว่าจะเสนอชื่อผม
ผมก็ตอบว่ายินดีมาก
แต่ก็คิดสงสัยอยู่ในใจว่าอาจารย์มาลินีจะทำอย่างไรเพราะดูเหมือนว่าช่วงเวลาสำหรับเสนอชื่อผู้ได้รับเกียรติให้เป็นพ่อตัวอย่างนั้นจะหมดไปแล้ว
ปลายเดือนตุลาคม 2547
ผมไปเที่ยวปักกิ่งกับคณะอาจารย์ธรรมศาสตร์
ระหว่างนั้นเองก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขานุการของ อ. มาลินี
ว่าต้องการให้ผมเขียนประวัติและส่งเอกสารไปให้อ. มาลินี
โดยด่วน แต่ผมไปอยู่ที่เมืองจีนเสียแล้ว
จะเขียนรายละเอียดให้ไม่ทันแน่ ๆ ผมจึงบอกให้เลขาฯ
โทรศัพท์ไปหาปณีตาบุตรสาวของผมให้ช่วยเขียนรายละเอียดให้
ผมไม่ได้โทรศัพท์ไปเองเพราะคิดว่าพอลูกสาวได้รับเรื่องก็คงจะโทรศัพท์มาหาเอง
ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น พอปณีตาโทรศัพท์มาหาผมจึงบอกรายละเอียดให้เขียนส่งไปให้ทางอาจารย์มาลินี
จากนั้นเรื่องก็เงียบไปจนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายนผมก็ได้รับจดหมายแจ้งว่าผมได้รับเลือกให้เป็นพ่อตัวอย่างแห่งชาติ
โดยจะจัดงานวันที่ 5 ธันวาคม
ที่อาคารใหม่สวนอัมพร โดยอนุญาตให้มีผู้ติดตามไปด้วย
2 คน
และตัวผมจะต้องไปรายงานตัวตั้งแต่เวลา 8.30
น. เป็นต้นไป
เมื่อถึงวันที่ 5
ธันวาคม ผมและคุณวีณากับปณีตาไปถึงอาคารใหม่สวนอัมพรประมาณเกือบเก้านาฬิกา
ก็พบว่ามีผู้ได้รับรางวัลมากันมากมาย
ยืนถ่ายรูปอยู่หน้าอาคารบ้าง
อยู่ที่ปีกด้านซ้ายมือจากทางเข้าบ้าง
แต่ไม่เห็นป้ายว่าจะต้องลงทะเบียนที่ไหน
แถมยังมีจุดที่ลงทะเบียนหลายแห่งด้วย
ผมจึงต้องเดินไปถามผู้ที่ติดโบว์ท่านหนึ่งว่าเขาลงทะเบียนกันที่ไหน
เมื่อเดินไปถึงจุดลงทะเบียนก็พบท่าน อ. มาลินี
มารอรับอยู่ บอกว่าติดต่อผมไม่ได้เลย
จึงไม่ทราบว่าผมจะมาหรือเปล่า ผมตอบว่าต้องมาสิครับ
ก็ท่านเป็นคนเสนอชื่อผมนี่นา
ที่จุดลงทะเบียน ผมได้รับโบว์สีเหลืองสำหรับติดหน้าอก
และได้โบว์สีชมพูสำหรับผู้ติดตามอีกสองคน
จึงเดินเอาไปให้คุณวีณาและปณีตาติดเสื้อบ้าง
ผมสังเกตเห็นว่ามีผู้ติดโบว์สีแดงด้วย เมื่อมอง ๆ
ดูแล้วจึงทราบว่าเป็นผู้ที่จะมารับโล่ผู้มีอุปการคุณ
เมื่อเดินเข้าไปข้างในอาคาร
ก็พบว่าเขาตั้งเก้าอี้เรียงเป็นแถวไว้ราว800
ตัว โดยเว้นทางเดินไว้ตรงกลางเท่านั้น
ด้านหน้าเวทีมีวงดนตรีเครื่องสายไทยกำลังขับร้องเพลงไทยอย่างไพเราะ
ผู้เล่นและผู้ร้องล้วนมีอายุมาก ๆ กันทั้งนั้น
แต่ยังเห็นเล่นกันกระฉับกระเฉงมากทีเดียว
บนเวทีมีเก้าอี้สำหรับองคมนตรีผู้แทนพระองค์
และฉากกั้นลักษณะเหมือนกับการจัดเพื่อรับปริญญานั่นเอง
ทางด้านซ้ายมือของเวที ตั้งยกพื้นสำหรับพระสงฆ์ 5
รูปสวดพระพุทธมนต์
และโต๊ะหมู่บูชาสำหรับจุดธูปเทียน
และมีเก้านั่งกรรมการอีกราวยี่สิบกว่าตัว
ด้านหลังเวทีมียกพื้นเป็นอาสนะสำหรับพระสงฆ์อีก 15
รูปสำหรับรับสังฆทาน ด้านหลังมีโต๊ะหมู่
9 ตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ และ
เทียนชัยสีขาวเล่มใหญ่อีก 9 เล่ม
สองข้างของโต๊ะหมู่มีธงชาติและธงธรรมจักร
ด้านข้างยังมีโต๊ะหมู่อีกชุดหนึ่งตั้งพระพุทธรูปไฟเบอร์องค์สีแดง
และ พานพุ่ม
ด้านหน้าโต๊ะหมู่ตั้งโต๊ะให้พ่อตัวอย่างมาลงนามถวายพระพร
ผมได้รับหมายเลข 20
เพราะเขาเรียงหมายเลขตามลำดับอักษร
เจ้าหน้าที่จึงพาผมไปชี้ที่นั่งในแถวที่สอง ส่วนคุณวีณาและปณีตา
ต้องไปนั่งข้างหลังในบริเวณที่นั่งผู้ติดตาม
เมื่อรู้ที่นั่งแล้ว ผมก็เดินขึ้นไปลงนามถวายพระพร
ที่สมุดลงนามเราได้แต่ลงนามอย่างเดียว
ไม่มีการเขียนข้อความอื่น ๆ
เมื่อผมกลับมานั่งที่เก้าอี้
ก็พบท่านอาจารย์ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต
เป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นพ่อตัวอย่างด้วยเหมือนกัน
และท่านนั่งอยู่หัวแถวที่ผมนั่งพอดี
ผมเดินไปซื้อดอกพุทธรักษาประดิษฐ์ราคา 30
บาทมากลัดติดเสื้อ
แถมด้วยซื้อเข็มกลัดพ่อตัวอย่างมาอีกหนึ่งอันราคา
100 บาท จากนั้นก็กลับมานั่งที่เก้าอี้
พอดีพบท่าน อ. มาลินีอีก ท่านบอกว่าผมจะเดินเป็นคนที่สอง
รองจากท่านองคมนตรี สิทธิ์ เศวตศิลา
และผมจะต้องมานั่งแถวหน้าต่อจากท่านสิทธิ์
แต่ตอนนี้ให้นั่งแถวเดิมไปก่อน
เพราะแถวหน้านั้นเป็นที่นั่งกรรมการสมาคม
ระหว่างนั้นเองทางพิธีกรก็พูดแนะนำ และให้ข่าวสารต่าง ๆ
ไปตลอดเวลา
จนกระทั่งจวนเวลาที่ประธานในพิธีจะมาจึงให้คุณพีรพงษ์
เสมรสุต
ผู้เป็นประธานจัดงานขึ้นไปบนเวทีเพื่อพูดให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน
ต่อจากนั้นเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ประธานจะเดินทางมาถึง
พิธีกรก็ให้สัญญาณวงดนตรีหยุดเล่น
แล้วนักดนตรีก็เริ่มทยอยออกไปนั่งที่เก้าอี้
ประธานในพิธีคือ พลเอกวันชัย เรืองตระกูล
อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม
เมื่อมาถึงผู้อยู่ในที่ประชุมก็ยืนต้อนรับ
แล้วต่อมาท่านประธานกับคุณพีรพงษ์ ก็ขึ้นไปยืนบนเวที
คุณพีรพงษ์เป็นคนกล่าวรายงาน และ
พลเอกวันชัยเป็นคนกล่าวเปิดงาน 5
ธันวา วันพ่อแห่งชาติ ครั้งที่ 25
โดยเน้นเรื่องความจงรักภักดี และ
การทำตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ
เมื่อกล่าวเปิดเสร็จประธานและคณะกรรมการก็เดินออกไปนอกอาคารเพื่อตัดริบบิ้น
และปล่อยลูกโป่งซึ่งมีข้อความว่า ขอจงทรงพระเจริญ
เมื่อประธานกลับมาก็เป็นพิธีสงฆ์
ทางผู้จัดได้นิมนต์พระสงฆ์มา 15
รูปเพื่อสวดมนต์และถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลถวายในหลวง
เมื่อพระสงฆ์ขึ้นนั่งบนอาสนะแล้ว ลูกเสือก็นำปิ่นโต
ตาลปัตร และ ของถวายออกมาวางหน้าพระ กรรมการ 15
คนเดินไปถวายตาลปัตรสีแดง
จากนั้นประธานจุดธูปเทียน กรรมการอาราธนาศีล อาราธนาธรรม
แล้วพระสงฆ์สวดมนต์สั้น ๆ มีเพียงอิติปิโส มหาการุณิโกนาโถและชยันโต
ต่อจากนั้นก็ทำพิธีถวายสังฆทาน พระสงฆ์รับแล้วสวดยถาสัพพี
แล้วองค์ประธานสงฆ์พรมน้ำมนต์ให้กรรมการ
จากนั้นพระสงฆ์ก็กลับ
กำหนดการต่อมาเป็นการแจกทุนการศึกษาทุนละ
2,000
บาทให้นักเรียนนักศึกษาจากโรงเรียนและสถาบันต่าง ๆ
ส่วนมากเป็นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนในกทม.
ที่มาจากต่างจังหวัดก็มี รวมแล้วประมาณ 170
ทุน
เด็กนักเรียนเหล่านี้เมื่อรับทุนแล้วก็จะกลับไปไม่ได้อยู่ตลอดงาน
เสร็จจากการมอบทุนก็มีรำอวยพรโดยสาว ๆ
แต่งชุดไทยเหนือ 6
คนรูปร่างแบบบาง แต่รำได้อย่างอ่อนช้อยดี
ต่อจากนั้นจึงเป็นการแสดงโขนรามเกียรติ์ จากกรมศิลปากร ตอน
พระรามรบกับพระมงกุฎและพระลบ อันเป็นตอนที่พ่อลูกรบกัน
ซึ่งก็มีความหมายดี แต่ดูแล้วเห็นว่าเล่นไม่จบ
เพราะลูกยังไม่ยอมรับพ่อ หากเล่นให้จบจะมีความหมายดียิ่ง
ถึงตอนนี้เป็นเวลา 12.10
นาฬิกาพอดี
พิธีกรประกาศให้ผู้เข้าร่วมพิธีไปรับประทานอาหาร
กรรมการก็ไปทางด้านขวาของอาคาร
ผู้เข้ารับเกียรติบัตรพ่อตัวอย่างก็ไปรับประทานอาหารทางด้านซ้าย
ส่วนผู้ติดตามไปรับปรานอาหารที่สวนองุ่น
ปรากฏว่าอาหารที่เขาจัดไว้ให้พ่อตัวอย่างเป็นโต๊ะจีนซึ่งอาหารเดินค่อนข้างช้า
เมื่อถึงเวลา 13.15 น.
ซึ่งเลยเวลาที่เขาอยากให้เข้าที่นั่งแล้ว
อาหารเพิ่งเดินมาได้สี่อย่างเอง
ผมจึงต้องลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนเพราะดูแล้วจะต้องนั่งอีกนาน
ทางด้านผู้ติดตามก็เช่นกัน ได้ทราบทีหลังว่าเมื่อคุณวีณาและปณีตาไปถึงซุ้มอาหารนั้นอาหารก็หมดแล้ว
ได้รับประทานขนมกุ้ยช่ายจานเล็ก ๆ
และได้ก๋วยจั๊บชามสุดท้ายมาแบ่งกันเท่านั้น
หลังจากนั้นผมก็ถูกจับไปนั่งที่แถวหน้า
ต่อมาเมื่อท่านองคมนตรีสิทธิ์มาถึงแล้ว
ท่านก็ไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน และจะแยกขึ้นไปรับต่างหาก
ผมจึงต้องเป็นคนแรกของกลุ่มที่จะเดินขึ้นไปรับ
จากนั้นพ่อตัวอย่างอีก 355
คนก็เดินตามไปรับเกียรติบัตรจนครบ
แต่บางคนต้องมีผู้พยุงไปเพราะอายุมากแล้ว
และมีคนหนึ่งที่ให้บุตรสาวมารับเกียรติบัตรแทน
เกียรติบัตรที่ได้รับแจกนั้นเป็นแผ่นไม้อัดภาพพระฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมกับชื่อและข้อความว่าได้รับเลือกให้เป็นพ่อตัวอย่างแห่งชาติประจำปี
2547
พอแจกเกียรติบัตรเสร็จก็ถึงเวลาแจกโล่ให้แก่ผู้มีอุปการคุณอีกสองร้อยกว่าคน
ในกรณีนี้มีผู้มารับแทนกันมากเหมือนกัน
ต่อจากนั้นก็มีการประกาศเชิญให้พลเอกสมหมาย วงศ์ข้าหลวง
ขึ้นมานำพ่อตัวอย่างอื่น ๆ ประกาศปฏิญญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อชาติ
ศาสนา และพระมหากษัตริย์
อีกทั้งจะผดุงเกียรติของพ่อตัวอย่างแห่งชาติเอาไว้ตลอด
ถึงตอนนี้งานก็ยังไม่จบทีเดียว
นักดนตรีวงกรมประชาสัมพันธ์เดินกลับมาใหม่
นักเรียนที่ได้รับรางวัลร้องเพลงกลับมาร้องเพลงเทิดพระเกียรติกันอีก
หลังจากนั้นก็เป็นการเชิญให้ประธานในพิธี กรรมการ และ
อาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ ขึ้นไปบนเวทีเพื่อจุดเทียนชัย
9 เล่ม
ส่วนทางด้านล่างก็ให้ลูกเสือแจกเทียนให้แก่พ่อตัวอย่างและผู้ติดตาม
เมื่อจุดเทียนบนเวทีเรียบร้อยแล้วกรรมการที่จุดเทียนก็เชิญเทียนลงจากเวทีมาให้พ่อตัวอย่างและผู้ติดตามจุดเทียนต่อ
ๆ กันเพื่อร้องเพลงเทิดพระเกียรติอีกครั้ง
ในตอนร้องเพลงนี้ต้องผมต้องยอมรับว่าร้องไม่เป็นเพราะเป็นเพลงสดุดีใหม่ที่แต่งขึ้นเมื่อสามสี่ปีมาแล้ว
แต่ผมไม่เคยหัดร้อง
จึงรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะล้าสมัยตามโลกไม่ทันเสียแล้ว
ในที่สุดวันอันวุ่นวายก็มาจบลงเมื่อ
15.45 น.
และหลังจากถ่ายภาพกันอีกสิบกว่านาทีและทักทายกับรศ. ประณต
เพื่อนจุฬาร่วมปีเดียวกันและมารับเกียรติบัตรพร้อมกันอีกแล้ว
พวกเราก็กลับบ้าน
_____________________________
|