Current Duties
Courses
ICT Ideas
ICT Education
ICT Management
ICT Principles
ICT Standards
ICT Vocabulary
CMM / CMMI
Case Studies
General Articles
Presentations
Book Reviews
Buddhism
Personal Efficiency
Writing Guides
Research Guides
VIP
Q & A
Contacts
Archive

คำแนะนำด้านการเรียน
ข้อสอบสนุก

 

Home
IT Idea for Spiritization

 

วัดพระบาทห้วยต้ม อ. ลี้  จ. ลำพูน

            ผมได้ยินชื่อและอ่านเรื่องของท่านครูบาชัยยะวงศาพัฒนา แห่งวัดพระบาทห้วยต้มมานานแล้ว  แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสมานมัสการท่านสักครั้ง  จนกระทั่งท่านมรณภาพล่วงลับไปแล้วจึงได้โอกาสเมื่อ ดร. สันทัด โรจนสุนทร  หัวหน้าฝ่ายวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง ได้กำหนดให้มีการประชุมปรับทิศทางและบูรณาการแผนงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง ณ โรงแรมนอร์ทเทอร์น เฮอริเทจ รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.สันกำแพง ในวันที่ 26 กรกฏาคม 2547  ผมจึงขอมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อจะได้เดินทางไปยังวัดพระบาทห้วยต้ม  คำขอของผมได้รับการตอบสนองด้วยดี เพราะวัดนี้ก็อยู่ติดกับศูนย์วิจัยโครงการหลวงที่วัดพระบาทห้วยต้มในระยะเดินสักสิบนาที ดังนั้น ดร. สันทัดจึงอนุญาตให้ ดร. ปาริสา และเจ้าหน้าที่อีกสองคน พาผมมาที่วัดนี้  และเมื่อดร.วรทัศร์ ขจิตวิทยานุกูล ทราบเรื่องนี้ก็ได้แสดงความประสงค์ที่จะมาด้วย ตกลงคณะของเราที่เดินทางไปเยี่ยมชมวัดพระบาทห้วยต้มจึงมีด้วยกัน 6 คน รวมคนขับรถด้วย

                ดร. ปาริสา พาพวกเราออกจากสนามบินเชียงใหม่เมื่อประมาณเกือบสิบนาฬิกา และเดินทางโดยถนนซูเปอร์ไฮเวย์ไปทางลำปาง   แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนไปลำพูนก่อนจะเลี้ยวซ้ายไปทางป่าซางและมุ่งหน้าไปยังอำเภอลี้  ถนนช่วงนี้เป็นถนนลาดยางอย่างดี แต่ค่อนข้างแคบเหมือนถนนขึ้นเชียงใหม่ในสมัยก่อน  ประมาณ11.45 เราก็ไปแวะรับประทานข้าวซอยที่ถนนข้างทาง  ก่อนจะเดินทางต่อไปอีกราวยี่สิบนาทีก็ถึงสำนักงานโครงการ

                สำนักงานแห่งนี่ค่อนข้างเล็ก  และเท่าที่ได้รับทราบจากคุณลักษณพร เจ้าหน้าที่ที่มาต้อนรับนั้น  รู้สึกว่าจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก  เพราะเมื่อดูจากสถิติรายได้ของประชากรในเขตรับผิดชอบแล้ว  พบว่าพวกเขามีรายได้จากการทำเครื่องเงินถึง 190 ล้านบาท  ในขณะที่มีรายได้จากการเกษตรเพียงสองแสนกว่าบาทเท่านั้น   คุณลักษณพรอธิบายว่าคนในหมู่บ้านที่อยู่ในเขตมาสมัครเป็นสมาชิกเพียง 10 รายเท่านั้น  แต่คนนอกเขตมาสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมากซึ่งทางศูนย์ก็ไม่ต้องการรับเข้ามาเป็นสมาชิก   เหตุผลก็คือแต่ละปีศูนย์จะต้องจัดทำแผนงานเพื่อของบประมาณมาใช้  และแผนงานนั้นจะต้องเน้นเรื่องพืชเมืองหนาวที่ทางโครงการหลวงกำหนดไว้เป็นกลยุทธ์  แผนงานนี้จะเน้นคนในเขตที่ศูนย์รับผิดชอบมากกว่า หากรับคนนอกศูนย์มาก็จะมีปัญหาเรื่องการที่จะทำให้ผลผลิตของสมาชิกได้คุณภาพถึงระดับที่ต้องการ  ซึ่งจะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณสนับสนุนอีกมาก  สำหรับเครื่องเงินนั้นในสองปีก่อนนี้มีผู้ทำกันมาก  ขายส่งให้แก่พ่อค้าในเมืองได้มากจนกระทั่งคนในหมู่บ้านมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น  มีการสร้างบ้านใหม่ที่โอ่อ่าหรูหราดีขึ้นกว่าเดิมมาก 

                คุณลักษณพรได้เล่าต่อไปว่า  บริเวณที่เป็นวัดพระบาทห้วยต้มนี้ตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านในสมัยที่ท่านครูบาชัยยะวงศาเดินทางมาสร้างวัด  และท่านเป็นที่นับถือของชาวกะเหรี่ยงมาก  จึงมีชาวกะเหรี่ยงติดตามท่านมาอยู่ที่นี่ในตอนแรกราว 80 คน  ท่านครูบาฯ เป็นนักก่อสร้างที่มีความคิดหลักแหลมและเห็นการณ์ไกล   ท่านได้วางผังหมู่บ้านให้มีถนนเป็นตาหมากรุก   มีวัดพระบาทห้วยต้มอยู่ด้านหนึ่ง  และมีอาคารที่เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านอีกอาคารหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ  อาคารนี้เรียกว่า “ใจบ้าน”   มีลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตสองชั้นทาสีขาว  ด้านบนมีเจดีย์สีทองเล็ก ๆ  ด้านหน้ามีถนนตรงเข้าไปหาอาคารและวกเลียบอาคารไปทั้งซ้ายและขวา  นอกจากนั้นยังขุดสระน้ำขนาดใหญ่ไว้ด้านหน้าตรงสองข้างทางของถนนที่วิ่งเข้ามาสู่อาคารนี้

                วัดพระบาทห้วยต้ม มีเนื้อที่กว้างขวางมาก  คุณลักษณพรให้คนขับรถนำรถไปเข้าประตูทางด้านหลังของวัด  แล้วนำไปจอดไว้ทางขวามือใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กับอาคารหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนวิหารแต่ปิดประตูมิดชิด  ด้านบนหลังคาทำยอดเป็นเจดีย์สูงขึ้นไป   ส่วนทางซ้ายมือของพวกเรามีอาคารยาวมีหลังคาลักษณะเหมือนทางเดิน  พ้นอาคารนี้ไปเป็นพระธาตุองค์ใหญ่สวยงาม  ส่วนทางขวามือเป็นพระวิหารพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานร่างของท่านครูบาชัยยะวงศาพัฒนา

                พระวิหารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่  ด้านหน้าเป็นบันไดพญานาค    พื้นเป็นหินแกรนิตสีแดงอ่อน  แต่ปูพรมสีแดงเกือบตลอดทั้งอาคาร    ฝาปูหินแกรนิตถึงบริเวณกรอบหน้าต่าง   ด้านซ้ายมือของอาคารทำยกพื้นเป็นที่นั่งสำหรับให้พระสงฆ์นั่งสวดมนต์หรือทำพิธีกรรมได้ราว 10 รูป    ขณะผมมานมัสการหลวงปู่นั้นมีพระสงฆ์นั่งรับสังฆทานและพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมอยู่หนึ่งรูป   ใกล้ ๆ กับที่นั่งพระสงฆ์มีตู้เก็บพระพุทธรูปบูชาซึ่งส่วนมากเป็นพระพุทธชินราชจำลอง  เลยต่อไปเป็นโต๊ะหมู่แกะสลักปิดทอง

ตรงกลางของพิพิธภัณฑ์ประดิษฐานหีบมุกซึ่งด้านข้างเป็นกระจกใสบรรจุร่างของท่านครูบาชัยยะวงศาพัฒนา   ร่างของท่านนอนสงบนิ่งอยู่ข้างใน   กายของท่านนั้นทางศิษย์ได้ปิดทองจนเหลืองอร่าม  มีหมอนทองหนุนศีรษะหนึ่งใบ  มือทั้งสองพาดอยู่บนหน้าอก  สงบสิ้นแล้วจากความสับสนยุ่งเหยิงทั้งปวงของโลก   ด้านหน้าของหีบมุกตั้งเครื่องใช้ของครูบา  รวมทั้งใบประกาศแต่งตั้ง  รถเข็นของท่าน   ส่วนเครื่องบูชาก็มีงาช้างที่สวยงามตั้งอยู่ด้วยสองคู่  นอกจากนั้นยังมีรูปหล่อในท่ายืนธุดงค์อยู่ที่ด้านหนึ่งด้วย

ผมนมัสการท่านพร้อมกับรำลึกถึงคุณงามความดีของท่านที่ผมได้ทราบมา   ผมเองไม่เคยมานมัสการท่านเมื่อครั้งมีชิวิตอยู่   เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน  และได้อ่านประวัติที่น่าประทับใจของท่าน   การได้มากราบท่านในวันนี้จึงถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง  เพราะแม้ว่าผมจะเป็นวิศวกรโครงสร้างโดยการศึกษา  แต่เมื่อมาเห็นหมู่บ้านที่ท่านกำหนดบริเวณให้ชาวกะเหรี่ยงอยู่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  อีกทั้งได้เห็นวัดอันสง่างามของท่านแล้ว  ก็รู้สึกชื่นชมความสามารถของท่านมากทีเดียว

                ย้อนกลับมาที่พิพิธภัณฑ์หลังนี้อีกครั้ง   ด้านขวาของอาคารเยื้องออกมาด้านหน้า  เป็นรูปหุ่นขี้ผึ้งของท่านครูบาตั้งอยู่ในตู้กระจก  องค์ท่านห้อยสายประคำเส้นยาวแบบตุ๊เจ้าทางเหนือ

                พิพิธภัณฑ์หลังนี้ทำหลังคาแบบลดสามชั้นทางด้านบันได  และส่วนกลางทำซ้อนสองชั้น   ภายในเหนือหน้าต่างวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพพุทธประวัติฝีมือแบบใหม่   บานประตูแกะสลักเป็นรูปนารายณ์ขี่ครุฑ  ฝีมือพอใช้  ลายเส้นสายละเอียดพอควร   สำหรับด้านนอกนั้นอาคารหลังนี้มีซุ้มหน้าต่างที่ค่อนข้างหนา  ทำลวดลายแบบล้านนา  เสาซุ้มประตูประดับลายทั้งส่วนโคนเสาและหัวเสา  ส่วนกลางเสายังมีลายประจำยามอีกด้วย  บานหน้าต่างแกะสลักเป็นภาพสัตว์   ส่วนราวบันไดสำหรับขึ้นไปสู่พิพิธภัณฑ์นั้นทำเป็นนาคตัวสีเขียวเศียรเดียว  และมีรูปปั้นวัวอยู่ข้าง ๆ นาคด้วย

                เมื่อออกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว  ผมเดินข้ามถนนไปยังศาลารายยาวที่คั่นระหว่างส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์กับพระธาตุองค์ใหญ่สวยงาม   บอกไม่ถูกว่าทรวดทรงเหมือนอะไร  ถ้าจะให้เดาก็ต้องบอกว่าเหมือนดอกบัวตูม  แต่ไม่ใช่ดอกบัวที่มีสัณฐานกลม  หากเป็นรูปเหลี่ยมเรียวขึ้นไปสู่ยอดซึ่งมีลักษณะเป็นห้องเหลี่ยม  และเหนือขึ้นไปอีกจึงมียอดและฉัตร    องค์พระธาตุตั้งอยู่บนอาคารที่มีลักษณะกลม  เหนือหลังคาอาคารเห็นซุ้มหลังคาเชื่อมต่อกับองค์ธาตุสลับกับพระเจดีย์เล็ก ๆ   ที่ฐานเจดีย์ประดิษฐาน พระพุทธรูป   ส่วนที่เป็นซุ้มเหนือหลังคานี้

                ทำเป็นหลังคาซ้อนสองชั้น  มีหางหงส์ ใบระกา  แต่ส่วนที่เป็นช่อฟ้านั้นทำเป็นไม้แหลมชูขึ้นไป   หน้าบันและส่วนที่เป็นผนังด้านนอก  ทำเป็นลวดลายสวยงาม  แต่ความที่ตั้งอยู่สูง และ อากาศวันนี้ร้อนจัดมาก  ผมจึงไม่ได้สังเกตว่าเป็นภาพอะไร  โดยรอบอาคารมีระเบียงแก้ว  ซึ่งมีช่องเปิดหลายช่อง  ทุกช่องประดับรูปเทพนมนั่งคุกเข่าอยู่บนหัวเสาของกำแพงแก้ว

                ผมเดินผ่านประตูอาคารชั้นล่างที่เป็นอัลลอยด์ทำเป็นรูปลวดลาย  ด้านในเป็นระเบียงเดินเป็นวงกลมได้  ฝาผนังระเบียงส่วนนอกเป็นรูปวาดเรื่องเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรหลายรูป   ต้องยอมรับว่าไม่ได้เดินดูโดยรอบเพราะเกรงจะไม่มีเวลา   เมื่อเดินผ่านเข้าไปชั้นในก็พบว่า  ตรงกลางได้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์หนึ่ง มีขนาดใหญ่พอประมาณ  องค์ท่านกั้นกลดหรือฉัตรชั้นเดียวมีลวดลายสวยงาม  เสาภายในพระธาตุที่รองรับอาคารส่วนบนและพระธาตุนั้นประดับด้วยกระจกเงา  ทำให้เกิดความรู้สึกว่าภายในมีความลึกและกว้าง   ซึ่งความจริงก็กว้างขวางอยู่แล้ว   หัวเสาส่วนบนที่ล้อมบริเวณส่วนกลางของอาคารนั้น  ทำเป็นรูปชายชาวเหนือนุ่งกางเกงขาสั้นทูนแท่นประดิษฐานพระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูกาลต่าง ๆ   

                เท่าที่พาเดินชมอาคารสำคัญสองแห่งมาแล้วนี้ยังไม่ได้ถึงอาคารที่ประดิษฐานรอยพระบาทเลย   แต่การที่จะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทนั้นจะต้องเดินไปยังส่วนในของวัด   เราเลือกวิธีนั่งรถออกไปก่อนแล้วเลี้ยวกลับเข้ามาใสส่วนที่เป็นลานกว้างขวาง  ลานนี้โรยกรวดทั้งบริเวณ  มองเห็นอาคารพระพุทธบาทตั้งเด่นอยู่ และเห็นองค์พระธาตุอีกสององค์ตั้งอยู่ใกล้ ๆ   ก่อนจะเดินไปถึงอาคารพระพุทธบาทได้สังเกตเห็นต้นโพธิ์ใหญ่เก่าแก่มาก  แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างขวาง   จนต้องนำเอาเสาไม้มาค้ำเพื่อไม่ให้กิ่งใหญ่ที่ยื่นออกมานั้นล้มลงกับพื้น   บริเวณเดียวกันนี้มีศาลไม้ขนาดใหญ่   โคนเสาทั้งสี่ของศาลอยู่ในบ่อซีเมนต์เล็ก ๆ  คล้ายกับต้องการหล่อน้ำเสาไม่ให้มดเดินขึ้นไปอย่างนั้นแหละ     ใกล้กับศาลไม้มีรูปปั้นฤาษีอยู่องค์หนึ่ง

                อาคารพระพุทธบาท เป็นมณฑปที่สวยงามมาก  ภายในมีแท่นพระพุทธบาทตั้งอยู่ตรงกลาง  แต่มองเห็นไม่ค่อยชัดเพราะได้ทำครอบไว้แล้ว  บนแท่นนี้มีคนนำไม้วัดวามาวางไว้หนึ่งอัน   ไม้วัดวานี้เป็นไม้รวกยาวราวสองเมตรเศษ  รัดหนังยางยืดไว้ตรงริมส่วนหนึ่ง   ที่นี่เขาเอาไว้ใช้เสี่ยงทาย  นั่นคือให้เราอธิษฐานกับพระพุทธบาทว่า  สิ่งที่เราปรารถนานั้นจะสมใจหรือไม่ แล้วก็อธิษฐานว่าหากเป็นจริงขอให้ไม้ส่วนที่กำหนดด้วยหนังยางยืดนั้นยาวออกไปจนเอื้อมไม่ถึง   วิธีอธิษฐานแบบนี้ดูแปลกกว่าการยกองค์พระเสี่ยงทายเหมือนที่เห็นกันในที่อื่น  และรู้สึกว่าจะไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์เท่าใดนัก

                ภายในมณฑปนี้มีธรรมาศน์เทศน์อยู่หลังหนึ่ง  แกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม  แต่เป็นของใหม่   ผนังด้านในของมณฑปวาดภาพจิตรกรรมเรื่องพระเวสสันดรชาดก

                ออกจากมณฑป เดินต่อเข้าไปข้างในก็เห็นพระเจดีย์  84,000 พระธรรมขันธ์  และต่อไปอีกเป็นหอพระไตรปิฎก   เป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงลักษณะสี่เหลี่ยมปิดหมด  เสาอาคารตั้งอยู่ในบ่อซีเมนต์ซึ่งน่าจะมีน้ำแต่ไม่มี  อาคารด้านนอกวาดภาพลายรดน้ำเป็นรูปเทพนม  และใช้แผ่นพลาสติกปิดทับลายอีกต่อหนึ่ง

                ต่อจากหอพระไตรปิฎกก็เป็นพระอุโบสถ  ซึ่งมีลักษณะสวยงามไม่แพ้มณฑป  ผมไม่ได้เดินชมละเอียดนักเพราะเริ่มจะเย็นแล้วและเราจะต้องเดินทางกลับเชียงใหม่   จึงเดินไปที่ด้านข้างของลานซึ่งมีประตูเปิดไปสู่บ่อน้ำทิพย์   เมื่อออกไปนอกกำแพงแก้วแล้วมีบันไดเดินลงไปสัก 6 ขั้น ก็เห็นช่องประตูเปิดไปสู่บ่อน้ำทิพย์  ช่องประตูนี้ปิดป้ายว่าห้ามสุภาพสตรีเข้า  และมีท่อเอ็สล่อนต่อน้ำทิพย์ออกมาสู่ก๊อกน้ำให้คนที่มาเที่ยวชมรองไปล้างหน้าล้างตา 

เรื่องน้ำทิพย์ หรือ น้ำศักดิ์สิทธิ์ นั้นคนสมัยใหม่อาจจะไม่เชื่อ  แต่นักวิทยาศาสตร์รัสเซียได้ค้นพบวิธีการทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแล้วครับ  ชื่อว่าน้ำ MRET  คือเขาพบว่าน้ำธรรมชาติบริเวณเทือกเขาคอเคซัสมีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ชนพื้นเมืองแถบนั้นแข็งแรงมาก  แม้แต่คนที่ถูกสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลก็ยังหายได้เพียงเพราะดื่มน้ำนี้   ดังนั้นจึงมีการวิจัยพบว่าน้ำที่นี่มีการเปลี่ยนแปลงการเรียงตัวของโมเลกุลไปจากน้ำธรรมดา  ดังนั้นเขาจึงคิดประดิษฐ์เครื่องมือผลิตน้ำลักษณะนั้นออกมาบ้าง   เครื่องมือนี้ได้รับสิทธิบัตรจากประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว   เมื่อมีผู้ค้นพบอย่างนี้  ผมจึงสันนิษฐานว่าน้ำทิพย์หรือน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในตำบลต่าง ๆ รวมทั้งน้ำมนต์ด้วย  ก็อาจจะเป็นน้ำที่มีการจัดเรียงโมเลกุลใหม่ด้วยพลังของธรรมชาติหรือพลังของท่านเกจิอาจารย์นั่นเอง  

                กล่าวโดยสรุป  วัดพระพุทธบาทห้วยต้มนี้เป็นวัดที่สวยงาม  และมีประวัติที่น่าสนใจมาก  แม้ตัววัดจะใหม่  แต่มีตำนานย้อนไปสู่อดีตกาลโน่น  ตำนานนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

                เรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือปฏิปทาของท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา   แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว  แต่เราก็ยังอาจศึกษาคำสอนของท่านได้  และยึดท่านเป็นแบบอย่างในการพัฒนาชุมชนได้  ส่วนเรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องประกอบ  แม้แต่ความงามของสิ่งก่อสร้างที่ท่านริเริ่มไว้  ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น

 

                                                                ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘

 

Back