สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นมากมายในเมืองไทย เช่น กรณีของความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องเขตแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ผมคิดว่าหลายเหตุการณ์ในช่วงนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นลูกหลานได้ศึกษาจดจำไปอีกนาน แต่การศึกษาก็คงจะทำได้ไม่สมบูรณ์นักเพราะถึงแม้ว่ายุคนี้เราจะมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่ก็มีข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงอีกมากที่คงถูกปิดบัง และไม่มีใครทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ที่สำคัญก็คือระบบอินเทอร์เน็ตเองก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับนักบิดเบือนที่เปลี่ยนแปลงสาระของเนื้อหาข่าวสารข้อมูลไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ใกล้ชิดเหตุการณ์หรือไม่ได้ใช้วิจารณญาณมากพอ อาจหลงเชื่อข้อมูลข่าวสารเท็จเหล่านี้ได้
ผมคิดว่าพวกเราอยู่ในยุคที่ต้องใช้ความหนักแน่นในการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของสังคมและมนุษย์ด้วย เช่น ธรรมชาติในการทำตามกิเลสโดยปราศจากความยับยั้งชั่งใจ เมื่อโกรธเกลียดใครขึ้นมาก็ขาดสติจนถึงขั้นนำอาวุธไปฆ่าฟันผู้อื่น, เมื่อชอบใจติดใจใครขึ้นมาก็ไปฉุดคร่ามาทำอนาจาร, เมื่อความอยากได้พลุ่งพล่านขึ้นมาก็กล้าลงมือฉ้อราษฎร์บังหลวง ในด้านสังคมก็เช่นกัน คนไทยเริ่มแบ่งเป็นสองค่ายอย่างชัดเจน และ เริ่มลงมือประทุษร้ายกันและกันอย่างขาดสติ แต่ก็นั่นแหละครับ อาจเป็นไปได้อีกเหมือนกันที่จะมีมือที่สามยุยงอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลร้ายต่อประเทศ และเพื่อที่เขาจะได้กุมอำนาจและกุมเศรษฐกิจของไทยไว้ได้
ท่านผู้ที่ติดตามอ่านบทความของผมจะเห็นว่า แต่ก่อนนี้ผมรู้สึกเดือดร้อนแทนประเทศชาติมาก ที่เห็นการศึกษาตกต่ำลง เยาวชนมั่วสุมสนใจแต่เรื่องไร้สาระ การแสดงละเม็งละครที่ปราศจากสุนทรียรส รวมทั้งการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดจากนักการเมือง แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เริ่มทำใจได้ว่า ประเทศไทยก็คงจะเดินผ่านจุดที่เจริญสูงสุดไปแล้ว นับวันคนไทยในภาพรวมก็จะเดินลงเหวไปเรื่อย ๆ และคงจะไม่มีใครหยุดยั้งเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ได้ ที่น่าเสียดายก็คือประเทศไทยควรจะเดินไปถึงจุดที่เจริญมากกว่าที่เราเคยพบเห็นมาได้ แต่โอกาสคงจะไม่มีเสียแล้ว
ผมไม่ได้คิดแบบ pessimist แต่ผมกำลังพูดว่า ผมทำใจได้แล้ว ใครจะชั่วร้ายอย่างไร ใครจะโกง ใครจะกิน ผมก็มองเฉย ๆ และพยายามมองแบบรู้เท่าทันว่าเขาทำอะไร ผมไม่พยายามสาปแช่ง และ ไม่นึกแค้นเคือง ผมเชื่อในเรื่องของกรรมและวิบาก ใครทำอะไรย่อมได้ผลเช่นนั้นอย่างแน่นอน ผมไม่ต้องสาปแช่ง เขาก็จะต้องได้รับวิบากอยู่แล้ว เพียงแต่เร็วหรือช้าเท่านั้น
ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ผมมีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นกับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการวิชาการ การเดินทางนี้เพื่อไปสร้างสัมพันธไมตรี กับมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น และไปดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ผมคิดว่าเรื่องบางเรื่องสามารถเปิดเผยได้ จึงนำมาลงไว้ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบบ้าง
สวัสดีครับ
ครรชิต มาลัยวงศ์