สวัสดีครับ
ผ่านพ้นไปอย่างยิ่งใหญ่และประทับใจสำหรับงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่ทางรัฐบาลจัดถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผมเชื่อว่าประชาชนทุกคนต่างปลาบปลื้มยินดีที่ได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีของพระองค์ท่าน และได้รับความรู้มากมายจากงานนิทรรศการและการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจที่ทางภาครัฐจัดขึ้นอย่างกว้างขวาง ผมขอเสนอแนะสักเล็กน้อยว่าสิ่งที่พวกเราจะต้องทำนั้นไม่ใช่มีแต่เพียงสวดมนต์ถวายเป็นกุศลแก่ท่าน หรือแค่รวบรวมซื้อหนังสือหรือภาพเกี่ยวกับพระองค์ท่าน แต่จะต้องนำพระราชดำริ และ พระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านไปปฏิบัติอย่างจริงจังด้วย เพราะการทำตามสิ่งที่พระองค์ท่านทรงชี้แนะนั้นนอกจากจะมีประโยชน์ต่อตัวท่านและประเทศชาติต่อไปเป็นเวลานานแล้ว ยังเป็นการพัฒนาทั้งสังคมและนิสัยส่วนตัวที่จะยั่งยืนต่อไปชั่วลูกหลานด้วย
ในช่วงเดือนที่แล้วผมมีงานต้องทำค่อนข้างมาก ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ อีกทั้งตอนกลางคืนยังดูการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลเวิลด์คัพด้วย ทำให้ไม่มีเวลาที่จะเขียนเรื่องต่าง ๆ มาให้ท่านผู้อ่านอ่านได้มากนัก จึงต้องขออภัยมานะที่นี้ เรื่องฟุตบอลนั้นความจริงก็ดูมามากแล้วครั้นคราวนี้จะไม่ดูเลยก็จะกลายเป็นคนตกยุคไป แล้วจะพูดกับคนอื่นเขาไม่รู้เรื่อง
ดูกีฬาฟุตบอลที่ผ่านมานั้น ต้องทำใจครับ เพราะเท่าที่เห็นนั้นมีความผิดพลาดหลายอย่างของกรรมการที่มีผลต่อการแพ้ชนะของทีม อย่างไรก็ตามความผิดพลาดนั้นผมเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นความจงใจเข้าข้างทีมใดทีมหนึ่งหรอกครับ น่าจะเป็นเพราะกรรมการไม่สามารถเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนเหมือนกล้องถ่ายโทรทัศน์มากกว่า เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นรวดเร็วมาก และกรรมการก็ไม่สามารถเรียกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาดูแบบสโลว์โมชันในภายหลังได้ด้วย
ผมมีข้อสังเกตว่า การแข่งขันฟุตบอลโดยทั่วไปนั้น การแพ้ชนะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คือ ความสามารถส่วนตัวของผู้เล่น ความสามารถของทั้งทีมในการประสานกัน ความรวดเร็วและขยันในการเข้าทำเกม เข้าแย่งลูก เข้าขัดขวางทำเกมของคู่แข่ง ความสามารถในการพลิกแพลงปรับเปลี่ยนวิธีเข้าทำประตู ความอดทนต่อการยั่วยุ และต้องรู้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามด้วย หากทีมใดมีความสามารถเพียงอย่างเดียว ก็จะไม่ประสบชัยชนะได้เลย ถ้าเทียบกับคนเราแล้ว ผมว่าคนเราในยุคนี้จะต้องมีปัจจัยในทำนองนี้ด้วยเหมือนกัน นั่นคือความขยัน ความฉลาด ความรวดเร็ว ความพลิกแพลง การทำงานเป็นทีม และต้องมีความรู้ที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของผู้อื่นด้วย
การจงใจทำฟาวล์ในการแข่งขันฟุตบอลนั้น ผมคิดว่าปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญไปแล้ว แต่ผู้เล่นก็ต้องตัดสินใจทำฟาวให้ถูกกาละเทศะ ทำฟาวล์ในเขตโทษเป็นเรื่องใหญ่และมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง หากตัดสินใจทำฟาวล์แบบนี้อาจทำให้ทีมเสียประตูและตกเป็นรองได้โดยง่ายโดยเฉพาะถ้าหากคนทำฟาวล์ถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม ผู้เล่นที่ชอบทำฟาวล์โดยไม่คำนึงถึงกลยุทธ์การเล่นที่เหมาะสมจึงเป็นจุดอ่อนสำคัญของทีม
ในทำนองเดียวกัน การดำเนินการของบริษัทหรือหน่วยงานก็อาจเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกับการทำฟาวล์ของผู้เล่นฟุตบอลก็ได้ การจงใจทำผิด หรือจงใจละเมิดกฎหมายอาจทำให้บริษัทหรือหน่วยงานเข้าตาจนก็ได้
ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะกว่า น่าจะเป็นการดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือการเล่นเกมตามกฎเกณฑ์และกติกาของกีฬานั้น ๆ
แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ดูเหมือนว่า บริษัท หน่วยงาน นักการเมืองและลิ่วล้อ ก็ยังชอบที่จะดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง เพราะคิดว่าจะทำให้ตนได้ผลประโยชน์มากที่สุดและโดยไม่คำนึงว่าในภาพรวมแล้วประเทศชาติจะเสียอะไรไปบ้าง
คำถามเวลานี้ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของ กฎกติกา และ ความชอบธรรมทั้งหลายทั้งปวงได้ เรื่องนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันคิดช่วยกันทำในเร็ววัน ปัญหาเรื่องนี้ก็คงจะหมักหมมจนไม่มีวันที่จะแก้ไขได้อีกเลย