ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ ผมได้มีโอกาสไปดูงานที่เกาหลีกับนักศึกษามินิเอ็มบีเอของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จึงขอถือโอกาสนี้เล่าความประทับใจให้ฟังสักเล็กน้อย
ผมไปเกาหลีครั้งแรกเมื่อนานเกือบสามสิบปีมาแล้ว ช่วงนั้นเกาหลีมีความสามารถไล่เรี่ยกับไทย
เคยส่งนักศึกษามาเรียนที่ไอไอทีหลายคน ทำให้ผมพลอยมีลูกศิษย์เป็นชาวเกาหลีหลายคนตามไปด้วย
แต่เวลานี้ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหนบ้างแล้วเพราะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ต่อมาผมก็มาประชุมวิชาการด้านไอทีที่เกาหลีบ้าง แต่ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปดูเมืองอื่นๆ เลยนอกจากกรุงโซล
มาคราวนี้ได้เดินทางไปหลายเมืองและพบเห็นว่าในช่วงเวลาสองทศวรรษเศษ เกาหลีได้พัฒนาไปไกลกว่าประเทศไทยมากทีเดียว เมืองใหญ่ ๆ ของเขามีถนนหนทางกว้างขวาง มีธุรกิจใหญ่น้อยมากมาย และเท่าที่ดูก็รู้สึกว่าผู้
คนจะมีความสุขดีแม้ว่าน้ำมันจะแพงขึ้นไปถึงลิตรละเกือบหกสิบบาท
เท่าที่สอบถามมา ผมเชื่อว่า การที่เกาหลีใต้ก้าวไปเร็วมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรักชาติรักประเทศ ความมีระเบียบวินัย และ
ความเห็นแก่ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนตัว
ผมคิดว่าความรักชาติต่างจากชาตินิยมแบบไม่ลืมหูลืมตา หรือการคลั่งในเชื้อชาติแบบสุดกู่เหมือนสมัยฮิตเลอร์ ความรักชาติที่ผมหมายถึงนั้น หมายถึงความรักในมนุษย์ทุกเชื้อชาติศาสนา ทำงานอย่างเข้มแข็งจริงจัง ประหยัด
แต่ขณะเดียวกันก็มีความปรารถนาที่จะให้ประเทศของเราก้าวหน้า มีความมั่งคั่งยั่งยืน
และ ต้องการสงวนรักษาทรัยพากรธรรมชาติของประเทศไว้ให้ลูกหลานในอนาคตไม่ว่าจะกี่ร้อยปีพันปี
เท่าที่ดูคนไทยที่เป็นใหญ่เป็นโตทุกวันนี้ดูเหมือนจะทำตรงกันข้ามกับที่ผมพูดมานี้หมด และพลอยเป็นตัวอย่างอันเลวร้ายแก่เยาวชนในปัจจุบัน
ความจริงแล้ว
ช่วงนี้เป็นช่วงอันดีที่สุดที่ประเทศไทยจะก้าวหน้าจากสภาพตกต่ำด้านเศรษฐกิจไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านได้ ผมเชื่อในศักยภาพและความสามารถของท่านนายกฯ แต่ลำพังท่านคนเดียวทำอะไรไม่ได้ดอกครับ จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากบรรดาผู้อยู่ใกล้ชิดที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายเพื่อประเทศชาติ บังเอิญเรื่องราวต่าง ๆ
ที่หลุดมาสู่ประชาชนนั้นล้วนบ่งชี้ในทำนองที่ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเสียใจและความจริงผมว่าถึงระดับที่อาจเรียกว่าฝันสลายก็ได้ครับ
เมื่อยี่สิบปีมาแล้ว เพื่อนอาจารย์ชาวฝรั่งเศสของผมได้ขอยืมหนังสือศาสนาพุทธไปอ่านแล้วกลับมาบอกผมว่า ดีมาก แต่ขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือพุทธศาสนาสอนเรื่องสังคมน้อยไป ผมไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาถึงระดับที่จะไปชี้แนะเขาได้
ก็ได้แต่รับฟังและเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเรื่อยมา แม้ขณะนี้ผมจะเข้าใจมากขึ้นและทราบว่าพระพุทธองค์ก็ทรงสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว
และชุมชนเอาไว้มาก แต่ขณะนี้ผมทราบแล้วว่าพระพุทธองค์ทรงตระหนักว่าสังคมล้วนประกอบด้วยคนแต่ละคน หากคนแต่ละคนไม่ดี ทำอย่างไรสังคมก็ไม่มีทางดีไปได
มาถึงตรงนี้แล้ว ผมจึงอยากเชิญชวนมิตรสหายของผมว่า อย่าไปรอให้ท่านนายกฯ
ปรับปรุงพัฒนาอะไรต่อมิอะไรที่ท่านกล่าวถึงบ่อยๆ เลยครับ เรามาพัฒนาตัวเราเองดีกว่า เราต้องถามตัวเราเองว่า เราได้ประพฤติถูกทำนองคลองธรรมหรือไม่ เราขวนขวายทำกิจที่ควรทำหรือไม่ เรายังประมาทอยู่หรือไม่ เริ่มที่ตัวเราเองนี่แหละครับ แล้วช่วยกันเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไปให้มากๆ ผมเชื่อว่านี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเราจะช่วยกันได้ ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วเราจะไม่สามารถทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศพัฒนาได้ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เป็นตัวถ่วงใครครับ
สำหรับในคราวนี้ผมนำบทความน่าสนใจมาลงด้วย
ใครสนใจลองเปิดอ่านเองครับ
ครรชิต มาลัยวงศ์