สวัสดีครับ
ผมตั้งใจว่าจะมาพบกับผู้อ่านที่สนใจเว็บของผมบ่อยขึ้น
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ก็เตรียมการไว้เสร็จแล้ว แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทำให้ไม่ได้มีโอกาสนำเสนอเรื่องราวใหม่ ๆ มาคราวนี้จึงพยายามแก้ไขปรับปรุงให้ท่านที่สนใจได้อ่านแต่ต้นเดือนมีนาคมเลยทีเดียว
ในเดือนที่แล้วนี้เราก็ได้ไปเลือกตั้งกันและได้ผู้แทนราษฎรชุดใหม่มาเกือบครบหมดแล้ว ผมเชื่อว่าป่านนี้คนที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ก็คงนั่งหน้าแห้ง เพราะไม่มีโอกาสจะถอนทุนคืนเสียแล้วในงวดนี้
ส่วนคนที่ได้รับเลือกก็คงกำลังนั่งคิดกันเป็นจ้าละหวั่นว่า
จะถอนทุนคืนได้อย่างไร ผมไม่เชื่อนักการเมืองอาชีพพวกนี้หรอกครับว่าจะทำอะไรให้บ้านเมืองเป็น
เพราะถ้าทำเป็นป่านนี้
เมืองไทยคงเจริญก้าวหน้ากว่านี้มากมายแล้ว ไม่ต้องให้บรรดาพวกสิงคโปร์
มาเลย์ มาดูถูกว่าเป็นเมืองป่าเถื่อนอยู่ทุกวันหรอกครับ
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่แสดงความเป็นเมืองป่าเถื่อนก็คือรถไฟครับ
เวลานี้รถไฟยังแล่นบรรทุกอุจจาระปล่อยลงบนรางรถไฟไปทั่วประเทศอยู่เลยครับ
สมัย ร. 5 นั้นรถไฟที่แล่นแต่ละวันมีไม่มากขบวนนัก
และคนโดยสารก็ไม่มาก จะมีคนต้องไปนั่งถ่ายในห้องส้วมบ้างก็ไม่มากนัก
เมื่ออุจจาระร่วงลงบนรางรถไฟแล้ว ไม่ช้าก็ถูกแดดเผา
ถูกฝนชะ สลายไปหมด แต่เวลานี้ขบวนรถไฟที่แล่นแต่ละวันมีมากมาย
คนโดยสารก็มาก คนเข้าห้องส้วมก็มาก
แต่การรถไฟก็ยังไม่เคยปรับปรุงส้วมในโบกี้รถโดยสารเลยครับ ด้วยเหตุนี้เอง
ผมขอแนะนำว่า หากเป็นไปได้อย่าไปใกล้ ๆ
สถานีรถไฟหรือ ทางรถไฟเลยครับ เพราะเป็นแหล่งชุมนุมเชื้อโรคมากกว่าย่านอื่น
ๆ เคราะห์หามยามร้ายอาจจะติดโรคมาได้ง่าย ๆ
เรื่องสำคัญที่น่าเป็นห่วงในช่วงนี้อีกอย่างก็คือเรื่องน้ำครับ
ผมอยากเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านช่วยกันประหยัดน้ำกินน้ำใช้หน่อยครับ
เมื่อเดือนก่อน ๆ ผมผ่านไปเห็นเขื่อนหลายแห่ง น้ำลดฮวบลงไปมากแล้วนะครับ
นี่ก็เพิ่งต้นเดือนมีนาคมเอง อีกนานกว่าฝนจะตก
ดังนั้นไทยคงจะประสบภัยแล้งอย่างรุนแรงแน่นอน ขออย่าได้คิดว่าเมื่อมีน้ำประปาไหลมาถึงบ้านแล้วอยากจะใช้อย่างไรก็ได้นะครับ
เพราะหากน้ำธรรมชาติลดลงไปมาก ๆ ละก็ น้ำดิบสำหรับทำน้ำประปาก็หมดได้เหมือนกัน
เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะต้องหิ้วถังไปขอรองน้ำจากรถบรรทุกน้ำกันละครับ
แล้วก็... เจ็ดวันอาจจะมาส่งให้สักทีหนึ่ง
ผมคิดว่าการที่เราคิดจะทำอะไร ๆ ก็ควรจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
และคิดถึงอนาคตของเมืองไทยมากขึ้น เวลานี้คนหลายคนทำอะไรโดยไม่ได้คิดถึงอนาคตมากนัก
เช่น พยายามจะส่งเสริมให้เรียนระดับปริญญาผ่านอินเทอร์เน็ต
โดยไม่ต้องมามหาวิทยาลัยบ้างละ หรือเปิดสอนระดับปริญญาเอกโดยไม่ได้มีอาจารย์ที่คุ้นเคยกับการให้คำปรึกษา
การทำวิทยานิพนธ์บ้างละหรือ พยายามเปลี่ยนรูปแบบการสอบประมวลความรู้เพื่อให้ผ่านกันง่าย
ๆ บ้างละ
แบบนี้อนาคตที่เราฝันว่าจะเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้
ลองย้อนกลับไปดูก็ได้ครับ เวลานี้รัฐบาลพยายามทำให้ทุกอย่างง่ายไปหมดสำหรับคนไทย
เข้าเรียนก็ไม่ต้องสอบ
จบแต่ละชั้นก็ไม่ต้องมีข้อสอบกลาง จะเข้าเรียนมัธยมปลายก็ให้จับฉลาก
ผมว่าต่อไปทำให้มันง่ายกว่านี้ขึ้นไปอีกก็ได้ครับ คือ
พอเกิดมาก็ให้ปริญญาตรีรู้แล้วรู้รอดไปเลย พออายุ 5 ขวบก็ให้ปริญญาโท
และ 10 ขวบก็ให้ปริญญาเอก
แบบนี้เป็นการขจัดการว่าจ้างทำวิทยานิพนธ์ไปด้วยในตัว เพราะไม่ต้องทำอีกแล้ว
ปัญหาเรื่อง Entrance หมดไปโดยอัตโนมัติ
และปัญหาเรื่องมหาวิทยาลัยจะออกนอกระบบหรือไม่ก็ไม่ต้องมี ความคิดนี้เป็นนวัตกรรมยิ่งใหญ่ที่ยังไม่มีใครคิด
หากเราทำเป็นประเทศแรก จะได้บันทึกชื่อลงในกินเนสส์บุ๊คด้วยครับ
มีคำถามว่า เฮ้ย...อย่างนั้นเด็กไทยก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรน่ะซี
ผมขอตอบก็ได้ว่า เด็กไทยจำนวนมากไม่สนใจจะเรียนรู้อะไรอยู่แล้วละครับ
เขาอยากใช้เวลาเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า
ที่ไปทู่ซี้เรียนก็เพื่อจะได้มีแผ่นปริญญาบัตรไปติดข้างฝาบ้านเท่านั้น
มองอะไรในแง่ดี
ๆ บ้างก็ได้ครับ ผมนึกฝันว่าอีกหน่อยก็จะมีชิปอาชีพให้เลือก
เมื่อเราอยากให้ลูกเป็นหมอก็เลือกเอาชิปหมอมาฉีดหรือฝังใส่สมองให้ลูกชายในเวลาเกิด
ฝังเสร็จเป็นหมอเลยครับ หรืออยากเป็นวิศวกร
เป็นนักร้อง เป็นเภสัชกร เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็เอาชิปแบบนั้น
ๆ มาฝัง เห็นไหมครับว่าเราไม่ต้องเรียนอีกแล้วก็ได้
อยากรู้อะไรก็เอาชิปมาฝัง อยากทำอาชีพอะไรก็ไปซื้อชิปนั้นมาฝัง
ปัญหาก็คือชิป นายกรัฐมนตรี นั้นคงจะไม่มีขายให้
ผมปรารภเรื่องข้างต้นนี้ เพราะเห็นว่าเราเตรียมเด็กไทยผิดไปครับ
แทนที่จะเตรียมให้เข้มแข็ง ผจญกับปัญหาได้
กลับเตรียมให้เป็นลูกแหง่ ทำอะไรไม่เป็น ไม่กล้าแข่งขัน ดีแต่ไปเที่ยวงานคอนเสิรตแล้วยกมือโชว์จั๊กกะแร้กันทั้งลาน
นี่ผมก็เป็นห่วงกระทรวงไอซีทีในด้านการส่งเสริมกราฟิกส์เหมือนกันครับ
เพราะคงจะมีบ้างละ ที่ได้รับการส่งเสริมแล้ว
ไปตั้งหน้าตั้งตาทำเกมมือถือบ้าง เกมคอมพิวเตอร์บ้าง มาหลอกขโมยเวลาอันมีค่าในวัยเด็กของลูกหลานเราไป
คิดแล้วเหนื่อยครับ
กลับมาในเว็บคราวนี้ดีกว่า ผมมี Presentation มาฝากหลายเรื่องด้วยกัน
แถมด้วยเรื่องสัพเพเหระอีกบางเรื่อง สนใจอะไร
ก็เปิดไปอ่านเถอะครับ
ครรชิต มาลัยวงศ์
|