ในที่สุดเราก็ได้ CEO, CFO, CIO และ C.. อื่น ๆ ของประเทศเรียบร้อยแล้ว ระหว่างนี้ผมเชื่อว่าคนไทยทั่วไปคงจะได้ยินคำถามว่า "คุณคิดว่ารัฐบาลชุดใหม่เป็นอย่างไร" กันเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะคนไทยทุกคนย่อมปรารถนาจะเห็นประเทศชาติของตนก้าวหน้า, รุ่งเรือง, น่าอยู่ และ เราสามารถบอกคนอื่นอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นประเทศที่เรารักที่จะอยู่
สำหรับผมเองแล้ว ผมไม่ยอมตอบคำถามนี้ เพราะผมรู้จักรัฐมนตรีชุดนี้น้อยมาก ผมเคยพูดจากับท่านนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพียงสองสามวาระ ตั้งแต่สมัยท่านยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และ ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลคุณธานินทร์ แต่หลังจากนั้นผมก็ได้แต่ติดตามงานบริหาร กทม. และ การสนทนาในรายการโทรทัศน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้จักมากไปกว่าคนไทยคนอื่น ๆ ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถจะตอบได้ว่าท่านนายกฯ คนใหม่ และ รัฐมนตรีชุดใหม่มีความสามารถขนาดไหน และจะบริหารประเทศได้ดีมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่ามีเรื่องสำคัญและน่าสนใจที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศที่พวกเราควรทราบ เพื่อใช้ในการประเมิน หรือ พิจารณาว่ารัฐบาลชุดใหม่บริหารบ้านเมืองดีหรือไม่
เรื่องแรกสุดก็คือ ความปรารถนาจะเห็นประเทศก้าวหน้า ขณะที่เขียนเรื่องนี้ รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ และเราก็ยังไม่ทราบอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจะทำอะไรบ้าง แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ยังไม่เห็นมีใครสักคนที่กล่าวว่าจะบริหารให้ประเทศไทยก้าวหน้ามากขึ้นได้อย่างไร
เวลานี้พวกเราส่วนใหญ่ก็คงตระหนักดีอยู่ว่า ประเทศไทยกำลังเสื่อมถอยลงไปทุกขณะ ซึ่งก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ประเทศไทยของเราตั้งประเทศมานานและย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว จึงมีอันเสื่อมถอยมากขึ้นหากไม่มีใครแก้ไขด้วยยาบำรุง ถ้าเราลองพิจารณาประเทศอื่น ๆ ก็จะมีลักษณะเดียวกัน คือมีเจริญแล้วก็มีเสื่อม ประเทศอียิปต์โบราณเคยรุ่งเรืองจนสร้างปิระมิดขนาดใหญ่ได้ แล้วก็มีอันต้องเสื่อมไป กรีซและโรมันก็เช่นกัน สเปน, อังกฤษ, และประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศก็กำลังถดถอย, สหรัฐอเมริกาก็กำลังเสื่อมถอยเช่นกันแม้จะยังดำรงสถานะในระดับนำหน้าอยู่ได้ สำหรับทางเอเชีย ประเทศเก่าแก่เช่นจีน, อินเดีย, และ เกาหลีใต้ ก็ได้รับยาบำรุงอัดฉีดจนสามารถสลัดความชราภาพ กลับมาเป็นหนุ่มสาวได้อีก ส่วนญี่ปุ่นนั้นก็ชราเช่นเดียวกับไทย แต่เขาก้าวหน้าไปไกลเกินประเทศไทยหลายเท่า และปัจจุบันผู้บริหารของเขาก็กำลังคิดหายาบำรุงอยู่ ดังนั้นถึงแม้เขาจะเสื่อมถอยไปบ้างเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ยังคงนำหน้าไทยอยู่ สิงคโปร์, มาเลเชีย, และ ฟินแลนด์ อาจจัดว่าเป็นประเทศที่เกิดใหม่ และกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ที่สามารถวิ่งรุดหน้าได้ดีกว่าประเทศที่ชราภาพแบบไทย และถ้าเราดูประเทศที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นก็คือเวียดนามซึ่งกำลังเจริญผิดหูผิดตาทีเดียว
ผมเห็นว่า ประเทศไทยเรากำลังต้องการยาบำรุงมาอัดฉีดขนานใหญ่ แต่ไม่ใช่ยา "ประชานิยม" ซึ่งมีแต่จะทำให้ประชาชนแบมือขอเงินใช้โดยไม่รู้จักทำอะไรเอง ไม่ใช่โครงการซื้อคอมพิวเตอร์ทีละล้านเครื่องโดยไม่ได้มีความพร้อมทางด้านเนื้อหา ไม่ใช่โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อถลุงงบประมาณ หรือเพื่อรับคอมมิสชันเข้ากระเป๋า
งานใหญ่ของเราก็คือการเตรียมคนไทยให้สามารถแข่งขันกับประชากรโลกได้ โปรดสังเกตว่า ผมไม่ได้พูดถึงการเตรียมประเทศ ผมเน้นที่การเตรียมคนไทยซึ่งไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงมาก่อน
ถ้าหากมองย้อนกลับไปในอดีต ผมพบว่าผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษานั้นสามารถทำงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และ หลักสูตรในระดับปริญญาตรี ก็เน้นที่การเตรียมคนออกมาทำงานโดยตรง ดังนั้นหลักสูตรจึงมีแต่เนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานในอาชีพนั้น ๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ บัณฑิตที่จบปริญญาตรีมายังทำงานทั่วไปไม่เป็นเลย เพราะหลักสูตรปัจจุบันประกอบด้วยวิชาที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานในวิชาชีพ มากถึงครึ่งหนึ่งของหลักสูตร นอกจากนั้นยังเป็นวิชาที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ด้วย เพราะการสอนไม่ได้เน้นที่การจะนำไปใช้งานจริง และอันที่จริงก็เป็นวิชาที่ควรจะรู้มาตั้งแต่เรียนในระดับมัธยมฯแล้ว
เวลานี้ ผมคิดอย่างเคือง ๆ ว่า บรรดากลุ่มนักการศึกษาที่คิดเปลี่ยนหลักสูตรมาให้เรียนเรื่องไร้สาระเหล่านี้ก็คงจะเป็นพวกที่ต้องการบ่อนทำลายคนไทย มากกว่าจะให้คนไทยเก่ง เพราะในขณะที่ความรู้ทุกสาขาก้าวหน้ามากขึ้นเท่าตัวทุกสิบปี แต่กลับมาสั่งให้ลดจำนวนเนื้อหาที่ต้องเรียนลงไป เมื่อเป็นแบบนี้ คนไทยจะไปแข่งขันกับคนชาติอื่นได้อย่างไรล่ะครับ
ผลของหลักสูตรที่พิการในทุกสาขาอาชีพ ทำให้บัณฑิตไทยง่อยเปลี้ย คิดอะไรไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น แถมยังสนใจแต่เรื่องสนุกสนาน แต่ละวันก็จ่อมอยู่หน้าจอโทรทัศน์เพื่อดูนิยายน้ำเน่า และ การถ่ายทอดแข่งขันฟุตบอลซึ่งก็ไม่ได้สนใจในเรื่องเทคนิค แต่ดูไปเพื่อจะพนันกันมากกว่า
ในด้านการพัฒนาประเทศ เรามีสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ซึ่งก็ไปเน้นการให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน และผลิตสินค้าขายต่างประเทศมากกว่าจะเน้นให้ต่างประเทศเข้ามาพัฒนาคนไทยให้มีความสามารถ ดังนั้นเมื่อค่าแรงคนไทยแพงมากขึ้น แต่ทว่าแต่ละปีก็ยังคงทำงานเหมือนเดิม นายทุนก็จำเป็นต้องย้ายโรงงานไปประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า ส่วนคนงานไทยก็ตกงานไปตามระเบียบ และหางานทำใหม่ไม่ได้เพราะไม่มีความสามารถ
ถึงเวลาแล้วครับ ที่เราต้องมาคิดเรื่องการพัฒนาความสามารถให้คนไทยกันใหม่ เราต้องพัฒนาคนไทยสายพันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถสูงทั้งทางด้านการงานวิชาชีพ, การสื่อสารและการเจรจา, การเงินการคลัง, การบริหารและการจัดการ, การวิจัย และ นอกจากนั้นยังต้องมีความคิดสร้างสรรค์, รู้จักใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าให้เป็นประโยชน์คุ้มค่า, และเห็นแก่ประเทศมากยิ่งกว่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
การที่จะพัฒนาคนไทยใหม่ได้ เราต้องยกเครื่องประเทศไทยใหม่แล้วครับ ตั้งแต่รัฐบาล, นักการเมือง, ข้าราชการ, ครูอาจารย์, พระภิกษุ, ไปจนถึงพ่อค้าและนักธุรกิจ งานนี้เป็นงานใหญ่ครับ และการทำงานนี้ให้สำเร็จต้องใช้คนที่มีความรู้จริงมาทำงาน ต้องรู้จักคิดด้านองค์รวม ไม่ใช่นักการศึกษาที่รู้จักแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ
คราวนี้ย้อนกลับมาสู่คำถามในตอนแรกว่า รัฐบาลชุดใหม่เป็นอย่างไร ผมเพิ่งกล่าวไปหยก ๆ ว่าการทำงานใดต้องอาศัยคนรู้จริงมาเป็นผู้รับผิดชอบ ก็ลองพิจารณาแล้วกันครับว่า คนที่มานั่งเป็นรัฐมนตรี, เลขานุการ, และ ที่ปรึกษาทั้งหลายมีความรู้ในด้านที่ตนบริหารจริงหรือไม่ แค่นี้ก็ได้คำตอบแล้วครับ