ประเทศไทยก้าวมาสู่จุดแปรผันครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการเมือง การปกครอง และ การปฏิบัติงานในประเทศไทยได้ทำให้เกิดความสับสนอย่างมากในทุกระดับ เพราะไม่มีใครตามทัน Politics at the Speed of Thought ได้
ไม่มีใครปฏิเสธว่าความก้าวหน้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ควรทำ แต่ปัญหาก็คือบนแผ่นดินที่มีคนมากถึง 64 ล้านคนนั้น คนที่จะตามความก้าวหน้าของโลกทันนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง แม้แต่รัฐมนตรีทั้งหลายเอง ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะก้าวทัน
การนำไอซีทีมาใช้เพื่อเพิ่มความเร็วให้แก่การบริหารนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างแน่นอน สมัยที่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรเป็น นายกรัฐมนตรี ท่านเคยพูดว่าหากมีห้องซึ่งดึงข้อมูลจากทุกกระทรวงและกรมมาดูได้ ท่านจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง
นั่นนำไปสู่การสร้างศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี PMOC หรือ Prime Minister Operation Center ที่จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงข้อมูลระดับกระทรวง MOC หรือ Minister Operation Center ระดับกรม DOC หรือ Department Operation Center และระดับจังหวัด POC หรือ Province Operation Center ที่พยายามป้อนข้อมูลให้ท่านนายกฯ ได้พิจารณาเป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม เวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ดร. ทักษิณ ไม่สามารถทำอย่างที่ท่านต้องการ นั่นคือไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้หมดสิ้น แต่ปัญหากลับมากล้นจนกระทั่งในที่สุดแล้วตัวนายกฯ เองนั่นแหละที่ต้องถูกปฏิวัติออกไปจากตำแหน่ง ประเด็นสำคัญที่ทำให้สิ่งที่ ดร.ทักษิณ คิดฝันไม่เกิดขึ้นจริงนั้น ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่เรื่องสำคัญสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือการขาดวิสัยทัศน์ร่วมระหว่างหน่วยงานไทยและคนงานไทยด้วยกันเองนี่แหละ และเรื่องที่สองก็คือการฉ้อฉลอย่างมโหฬารในทุกวงการและพยายามปกปิดไม่ให้มีหลักฐาน
เท่าที่สังเกตเห็นในเวลานี้ รู้สึกว่าคนไทยจะมีความคิดเห็นที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เรื่องนี้ไม่แปลกถ้าหากความเห็นที่แตกแยกนั้นจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อกลั่นกรองเป็นแนวทางการปฏิบัติที่เป็นอย่างเดียวกันทั้งชาติ และโดยหลักความเป็นจริงแล้วเราต้องสนับสนุนให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่าง ที่เรียกว่ามองต่างมุม เพื่อให้เห็นภาพของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริงและทั่วถึง เมื่อเห็นแล้วเราจะต้องนำมาพัฒนาเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นหนึ่งเดียวให้ได้
เวลานี้ เป็นช่วงที่รัฐบาลมีโอกาสดีที่จะปรับปรุงแก้ไขความเลวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่น่าเสียดายที่เวลาของคณะปฏิวัติหายไปหนึ่งปีแล้วโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมให้ประชาชนยอมรับ น่าเสียดายที่รัฐบาลก็คิดไปทาง, คมช. ก็คิดไปทาง, และ สภานิติบัญญํติก็คิดไปอีกทาง ทำให้รัฐบาลไม่มีพลังในการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมสำหรับอนาคตของประเทศ
ทุกวันนี้มีข่าวแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย เกี่ยวกับการขัดแย้งกันในประเทศบ้าง เกี่ยวกับการดิสเครดิตท่านนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์บ้าง คนที่สร้างความขัดแย้งเหล่านี้พยายามบอกว่าทำไปเพื่อประชาชน แต่ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อย เป็นเรื่องของการทำเพื่อตนเองทั้งนั้น จำได้ว่าเมื่อสามปีมาแล้ว คุณนิติภูมิเคยพูดว่า คนไทยเราจะอัดกันเองในเรื่องต่าง ๆ อย่างไรก็ได้ แต่เมื่อจะออกไปนอกประเทศ เราต้องเป็นเสียงเดียว เราจะต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้นแล้วประเทศของเราจะเสียหาย ก็การพยายามสร้างความขัดแย้งนั้นมิใช่การสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศหรอกหรือ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้บ่งชี้ว่า นี่คือประเด็นที่คนไทยยังไม่เข้าใจ คนไทยยังชอบด่าคนไทยให้คนต่างชาติฟัง โดยไม่คิดว่าจะทำให้เกิดผลร้ายต่อประเทศตามมา
อีกนัยหนึ่ง คนไทยยังไม่มีวิสัยทัศน์ร่วม หรือยังไม่เห็นภาพอนาคตที่ดีร่วมกัน
กลับเข้ามาถึงเรื่องไอซีทีอีกครั้ง การขาดวิสัยทัศน์ร่วมนี่แหละที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวหน้าเป็นผู้นำไอซีทีในภูมิภาคได้ ภาครัฐก็คิดกันไปว่าจะส่งเสริมไอซีทีกันอย่างไร แล้วก็ส่งเสริมให้มีการขายเครื่องพีซีราคาถูกกันมาก ๆ แต่พีซีนั้นไม่ได้เป็นเครื่องมือการเรียนรู้อย่างเดียว ยังเป็นเครื่องมือในการเล่นเกมด้วย ยิ่งมีพีซีมากก็ยิ่งทำให้เด็กติดเกมมาก พ่อแม่ผู้ปกครองก็เดือดร้อน ข้างทางฝ่ายพ่อค้าก็คิดกันไปว่าจะหาเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุดได้อย่างไร ต่างพยายามนำเกมเข้ามาหาเงิน พยายามสร้างเกมแปลก ๆ ใหม่ ๆ บรรจุในคอมพิวเตอร์บ้าง โทรศัพท์มือถือบ้าง ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง
เรียกว่าบ่อนทำลายเยาวชนของชาติกันยกใหญ่
เมื่อเป็นอย่างนี้แทนที่ไทยจะได้เป็นผู้นำไอซีที ก็จะกลายเป็นผู้นำการเล่นเกมของภูมิภาค หรือ ของโลก ในอนาคตเมื่อเด็กตื่นนอนขึ้นมาก็จะเล่นเกมไปจนถึงดึกดื่น ลืมตาไม่ไหวนั่นแหละจึงจะนอน แล้วอย่างนี้เด็กของเราจะแข่งขันกับผู้อื่นได้อย่างไร
รัฐบาลทุกชุดที่เข้ามาบริหารประเทศได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ ไม่ได้กำหนดภาพอนาคตว่าอยากจะเห็นคนไทยเป็นอย่างไร และปัญหาเหล่านั้นก็เป็นปัญหาที่คนไทยจำนวนหนึ่งสร้างขึ้นด้วยความโลภ ด้วยความเห็นแก่ตัว และอาจมีบ้างที่ต้องการบ่อนทำลายประเทศไทย
ผมอยากเรียนว่าเวลานี้ เมืองไทยไม่ได้มีทรัพยากรอะไรเหลือแล้ว เพราะถูกคนไทยโดยเฉพาะนักการเมืองเลว ๆ ผลาญไปหมด ถ้าจะมีหวังอยู่ก็คือ ทรัพยากรมนุษย์นี่แหละ แต่เราจะต้องมีวิสัยทัศน์ร่วมกันทุกระดับว่า เราจะต้องช่วยกันสร้างคนไทยให้เข้มแข็งให้ได้
คนไทยในอนาคตจะต้องมีสุขภาพเป็นเลิศ มีอายุขัยยืนยาวกว่าคนในภูมิภาค มีความเฉลียวฉลาดหรือไอคิวสูงกว่าคนชาติอื่น มีความรู้ในวิชาการเป็นเลิศและสามารถพูดได้อย่างน้อยสามภาษา มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม ขยันหมั่นเพียร และ รักศิลปวัฒนธรรมที่ดีงาม
ป่วยการที่จะคิดวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี บริการ หรือ เรื่องอื่น ๆ หากไม่กำหนดวิสัยทัศน์ด้านคนนำหน้า
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำวิสัยทัศน์นี้มานำหน้า แล้วผลักดันให้เกิดกฎหมาย ข้อบังคับ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ กิจกรรมใดขัดแย้งต่อวิสัยทัศน์นี้ต้องถูกสั่งให้ยุติไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมของรัฐหรือเอกชน
เมื่อใดที่เรามีวิสัยทัศน์ร่วมได้เช่นนี้นั่นแหละ ประเทศไทยจึงจะอยู่รอดได้