นานมาแล้ว ผมเคยตั้งคำถามนักศึกษาว่า สิ่งประดิษฐ์อะไรมีความสำคัญมากที่สุดต่อชีวิต แน่นอนครับ คำตอบมีอยู่มาก และการเลือกคำตอบก็สุดแท้แต่ความเห็นและประสบการณ์ ส่วนผมซึ่งเป็นคนตั้งคำถามนั้น ตอบสั้นๆ ว่า สิ่งประดิษฐ์นั้นก็คือ "ส้วม" ครับ ผมเห็นว่า "ส้วม" มีความสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทุกคนต้องใช้ไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ ไม่ว่าจะอยู่ตึกระฟ้าหรืออยู่สลัมใต้สะพาน และส้วมเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เราใช้ชื่อเสียเพราะว่า "ห้องสุขา"
เมื่อผมไปเที่ยวอินเดียนั้น ส้วมที่เราต้องใช้ระหว่างการเดินทางก็คือ ส้วมเปิดที่อยู่กลางทุ่ง ผู้ชายไม่ค่อยเท่าใดนักหากต้องการปัสสาวะก็เดินไปยังต้นไม้ใหญ่ แล้วยืนให้มิดชิดเสียหน่อย ส่วนผู้หญิงจะต้องทำผ้าถุงพิเศษไปด้วย คือทำเป็นถุงที่สามารถครอบตั้งแต่คอลงไป เพื่อที่จะได้นั่งทำธุระได้โดยไม่ต้องอายสายตาใคร
สำหรับจีนนั้น แตกต่างออกไป เราต้องไปอาศัยส้วมตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งตามชนบทนั้นล้วนแล้วแต่มีกลิ่นที่ฉุนยกกำลังอนันต์ ขนาดได้กลิ่นเพียงไม่กี่วินาทีก็แทบอาเจียนแล้ว ดังนั้นการเดินทางระหว่างเมืองในจีนจึงเป็นเรื่องทรมานมาก
เมื่อผมอยู่วิศวะปีสาม สมัยปี 2506 ผมต้องไปฝึกงาน ณ บริเวณเขาชนไก่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าโปร่ง มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งเดียวอยู่ใกล้กับบริเวณค่ายพักนิสิต ปัญหาสำคัญของนิสิตก็คือเรื่องส้วมนี่แหละ กล่าวคือการฝึกงานรุ่นผมเป็นผลัดที่สองของเทอมนั้น ก่อนหน้านั้นมีมาแล้วหนึ่งผลัด นิสิตผลัดนี้ได้ช่วยกันสละกากอาหารลงในส้วมหลุมจนเกิดกลิ่นไปไกลหลายสิบเมตร นอกจากนั้นเมื่อมองลงไปในหลุมก็เห็นหนอนอ้วนสีขาวจำนวนมากคลานยั้วเยี้ยอยู่ในหลุมด้วย เวลาต้องการปลดทุกข์ก็ต้องทั้งนั่งดมกลิ่นที่เหม็นตลบอบอวล
และดูเจ้าหนอนอ้วนระริกระรี้อยู่ในหลุมอย่างน่าสะอิดสะเอียน อย่างไรก็ตามความเหม็นไม่ใช่ปัญหาสำคัญหรอกครั ที่นิสิตส่วนใหญ่กลัวมากกว่า ก็คือ ผี ครับ
ก่อนหน้ารุ่นผมสักสองสามรุ่น การฝึกงานมีกิจกรรมการไปวัดความเร็วของน้ำในแม่น้ำแควด้วย และปีนั้นเกิดอุบัติเหตุเรือล่มทำให้นิสิตชื่อเดียวกันตายไปสามคน ทำให้นิสิตหลายคนไม่กล้าเดินไปส้วมในตอนกลางคืน และบางคนก็ไม่กล้าไปกลางวันเสียอีก
การฝึกงานนั้นกินเวลานานสองสัปดาห์ เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมอดกลั้นไม่ถ่ายนานขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้เองเพื่อนของผมจำนวนมากจึงเดินไปนอกค่ายพัก แล้วไปนั่งบนสะพานข้ามลำห้วยเล็กๆ แล้วปล่อยความอึดอัดขัดข้องให้ลอยไปกับกระแสน้ำ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าชาวบ้านจะโกรธเคืองมากน้อยแค่ไหนที่พบเห็นสิ่งปฏิกูลจำนวนมากลอยฟ่องมาตามน้ำที่เขาใช้ซักล้างและดื่มกิน เมื่อคิดถึงจำนวนนิสิตนับร้อยที่ไปอยู่ค่ายแล้ว ผมเชื่อว่าเจ้าสิ่งปฏิกูลนี้มีจำนวนเป็นตันเลยแหละครับ
เวลาผันเปลี่ยนไปสี่สิบกว่าปีแล้ว ผมยังไม่เคยกลับไปเยี่ยมค่ายวิศวะแห่งนี้อีก แต่หวังว่าคงจะมีการเปลี่ยนส้วมให้ทันสมัยขึ้นแล้ว และโดยที่ปัจจุบันนี้มีนิสิตหญิงมากขึ้น คงไม่มีนิสิตหญิงคนไหนไปนั่งเอ้อระเหยชมวิวบนสะพานเหมือนนิสิตวิศวะรุ่นพ่อเป็นแน่
การเดินทางตามถนนระหว่างเมืองต่างๆ ของไทยในอดีตก็มีปัญหาเรื่องส้วมมาก ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนต้นคิดรณรงค์ให้บรรดาสถานีบริการน้ำมันต่างๆ ปรับปรุงส้วมให้สะอาดเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน เดี๋ยวนี้ผู้ต้องเดินทางไกลจึงไม่ค่อยเป็นทุกข์มากนัก หากจำเป็นก็สามารถไปห้องสุขาคลายทุกข์ได้ตามสถานีบริการน้ำมันนั่นเอง แม้สถานีบริการบางแห่งอาจจะยังไม่สะอาดนัก แต่การได้พบปั๊มน้ำมันข้างทางยามต้องการปลดทุกข์นั้น ห้องที่ไม่สะอาดก็กลายเป็นห้องสุขาจนได้แหละ
ส้วมที่อุจาดที่สุดก็คือ ส้วมบนรถไฟ หน่วยงานนี้แปลกมาก เพราะเมื่อร้อยปีมาแล้วนั้นส้วมเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย นั่นก็คือเมื่อผู้โดยสารเข้าไปนั่งถ่ายในส้วมประจำโบกี้แล้ว สิ่งที่ขับถ่ายออกมาก็จะปลิวลงมาที่ไม้หมอนและรางรถไฟ ถ้าหากรถไฟจอดอยู่เฉยๆ ก็จะออกมากองบนไม้หมอนเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนมาก แต่ถ้าหากรถไฟแล่นอยู่ เจ้าสิ่งที่ขับถ่ายมาก็จะกระเซ็นไปทั่วเส้นทางช่วงนั้น ในอดีตขบวนรถไฟมีน้อย ผมเคยไปทำงานสำรวจเส้นทางรถไฟสายใต้อยู่สองเดือนเมื่อสี่สิบปีมาแล้ว จำได้ว่าแต่ละวันมีขบวนรถแล่นผ่านราวสิบขบวนเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้มีขบวนรถแล่นมากขึ้น มีผู้โดยสารมากขึ้น แต่ส้วมในโบกี้ก็เหมือนเดิม ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า คนรถไฟไม่รู้จักขายหน้าชาวโลกบ้างหรือไร ที่ส้วมในรถไฟยังเป็นพาหะในการปล่อยเชื้อโรคอยู่อย่างนี้ น่าจะมีนักศึกษาทำวิจัยดูว่า พนักงานรถไฟที่เป็นช่างโยธาป่วยมากกว่า หรือบ่อยครั้งกว่าชาวบ้านที่ทำงานแบบอื่นๆ หรือไม่ ผมเองมีสมมุติฐานว่าน่าจะป่วยมากกว่า เพราะต้องรับเชื้อจากผู้โดยสารนับหมื่นๆ คนที่ปล่อยออกมาติดอยู่บนทางรถไฟทุกวัน
ส้วมในวัดก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าสถานที่อื่นๆในที่นี้จะไม่พูดถึงส้วมทองที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ แต่จะพูดว่า การไปวัดเพื่อร่วมงานพิธีต่างๆ ไม่ว่างานศพ งานทำบุญเลี้ยงพระ งานบวช ฯลฯ จำเป็นที่จะต้องอาศัยส้วมเพื่อบำบัดทุกข์ทางกาย วัดที่จัดส้วมไว้มากมายและสามารถรองรับความต้องการของผู้มาเข้าวัดได้ก็คือ วัดอัมพวัน ที่สิงห์บุรี หลวงพ่อจรัญ ซึ่งพวกเราส่วนมากรู้จักดีนั้นท่านเน้นเรื่องนี้มาก ส้วมที่ท่านสร้างไว้สะอาดเพราะผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนถือว่าการทำความสะอาดส้วมเป็นกิจกรรมในการลดอัตตา และเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น
ผมเคยไปเข้าส้วมสาธารณะที่สิงคโปร์ครั้งหนึ่งเหมือนกัน ที่จริงไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าส้วมสาธารณะในประเทศนี้บ่อยครั้งนัก เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก เดินประเดี๋ยวเดียวก็หมดที่ไปแล้ว หากต้องการเข้าส้วมก็เดินกลับไปโรงแรมแล้วก็ออกมาใหม่ได้ แต่ที่วันนั้นไปเข้าส้วมสาธารณะก็เพราะมีคนบอกว่ารัฐบาลสิงคโปร์เขาสั่งปรับคนที่ใช้ส้วมแล้วไม่ชักโครก ก็เลยอยากรู้ว่าเขาเขียนเตือนให้ชักโครกจริงหรือเปล่ ปรากฏว่าเขาเขียนจริงๆ ครับ มีประกาศติดไว้ด้วยว่าหากใครเข้าส้วมแล้วไม่ชักโครกจะต้องถูกปรับหลายเหรียญอยู่เหมือนกัน สิงคโปร์ที่ว่าสะอาดๆ นั้นยังมีบทบัญญัติห้ามฉี่ในลิฟต์ด้วยครับ ผมว่าลิฟต์ของอาคารหลายแห่งในไทยเรานั้นเก่าแก่ดูไม่น่าไว้วางใจมากแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีใครอุตริฉี่ในลิฟต์ได้ แต่ก็มีคนทำจนถึงกับต้องประกาศห้าม
เรื่องยืนฉี่ไม่เป็นที่เป็นทางนั้นชายไทยทำบ่อยครับ อย่างแถวสถานีรถไฟสามเสนใกล้บ้านผมนั้น ผ่านไปเมื่อไรเป็นต้องเห็นชายไทยืนฉี่รดเสาตอม่อโฮปเวลล์บ้าง ใต้บันไดทางลาดสำหรับเดินข้ามทางรถไฟบ้าง ฉี่รดต้นไม้ใหญ่บ้าง ฉี่เข้าไปในพุ่มไม้บ้าง วันหนึ่งผมไปเดินข้ามสะพานคนเดินข้าม พบเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเมียงมองหาที่ฉี่ตรงโคนสะพาน ผมก็ยืนกันท่าเอาไว้ไม่ให้เขาฉี่ เขาก็ทำท่าอึดอัด แล้วก็เดินไปนั่งรอที่ม้านั่ง เมื่อผมเดินไปพ้นสะพานไปแล้ว เขาก็เดินกลับมาตั้งท่าจะรูดซิปทีเดียว ผมเดินข้ามไปแล้วก็ร้องบอกว่า "นี่คุณ...ฝั่งนี้มีส้วม มาฉี่ที่ส้วมก็ได้" ปรากฏว่ากระทาชายนายนั้นโกรธมาก หันกลับมาตะคอกด่าผมว่า รู้ได้อย่างไรว่าเขาจะฉี่ ผมขี้เกียจตอบว่าหมาตัวผู้นั้นพอยกขาขึ้นคนเขาก็รู้แล้วว่าจะทำอะไร แล้วผมก็ไปบอกตำรวจให้ออกจากป้อมมาดูแลบริเวณนั้น คนพวกนี้แหละครับที่เป็น Unseen Thai
ส้วมสาธารณะที่ผมปวดหัวอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่อิตาลี มีคราวหนึ่งผมกับเพื่อนชาวไทยรุ่นน้องสามสี่คนเดินทางด้วยรถไฟในช่วงกลางคืน กะไปถึงอีกเมืองหนึ่งในช่วงเช้าเพื่อทุ่นค่าโรงแรม พอลงจากรถไฟแล้ว เราก็จำเป็นต้องไปเข้าส้วม แต่พอไปถึงหน้าห้องส้วมแล้วก็งง เพราะมีแต่ป้ายบอกว่าเป็นส้วมซินยอรี และซินยอเร แต่บนฝาผนังไม่มีรูปให้ดูว่าประตูไหนเป็นส้วมของผู้ชายหรือผู้หญิง ข้างพวกเราเองก็ไม่มีพจนานุกรมก็ไม่มีติดตัว เป็นอันว่าต้องรอให้มีชายอิตาเลียนเดินเข้าไปก่อนจึงจะรู้ว่าห้องไหนเป็นส้วมสำหรับผู้ชาย แล้วพวกเราจึงเดินตามเข้าไปใช้บริการได้
การเข้าส้วมนั้น ถึงจะรีบอย่างไรก็ต้องสังเกตให้ดีนะครับ ส้วมที่ดูว่าสะอาดและน่าใช้นั้น อาจจะไม่มีกระดาษทิสชู และไม่มีสายชำระด้วย ถ้ารีบร้อนเข้าไปนั่งปลดทุกข์แล้วละก็จะต้องลำบากแน่ๆ เรื่องทำนองนี้มีคนนำมาทำเป็นหนังสั้นๆ ด้วยครับ เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อชายคนหนึ่งถือหนังสือภาพจิตรกรรมสวยงามเข้าไปในส้วม พอปลดทุกข์แล้ว ไม่มีทิสชู ก็เลยต้องแก้ปัญหา มองเห็นฉากกั้นห้องมีช่องว่างข้างล่างก็เลยลองสอดมือเข้าไปควานหาทิสชูที่น่าจะอยู่ติดข้างฝา แต่ที่ไหนได้ในห้องนั้นมีชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่แล้ว เมื่อเห็นมีมือลอดใต้ฉากกั้นมา ก็เลยจับมือมาลูบที่ขาของเขา ทำให้ชายคนแรกต้องรีบชักมือกลับคืน ในที่สุดเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยต้องฉีกหนังสือราคาแพงเล่มนั้นมาใช้แทนทิสชู
หน่วยงานหลายแห่งมีส้วม และมีทิสชูให้ใช้ แต่ขาดสิ่งสำคัญไปอีกอย่างครับ คือสบู่ เมื่อสิบปีมาแล้ว ห้องส้วมของเนคเทคที่กระทรวงวิทย์ฯ ก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่มีใครสนใจหาสบู่มาใช้กันเลย >คงเป็นด้วยเหตุนี้แหละครับที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบระบาดในหมู่พนักงาน ช่วงนั้นป่วยกันไปหลายคนเลยครับ ผมเองโชคดี เพราะถึงแม้ว่าตอนนั้นจะทำงานทีเนคเทคแล้ว แต่ผมทำงานอยู่ที่อาคารอีกแห่งหนึ่งก็เลยไม่ได้ป่วยเหมือนคนอื่นๆ เขาด้วย
จำไว้นะครับว่า ส้วมเป็นเรื่องสำคัญมาก และหากไม่แน่ใจว่าส้วมที่คุณจะใช้นั้นมีอุปกรณ์ครบหรือไม ก็จงนำทิสชูและสบู่ติดตัวไปด้วยทุกครั้ง