เมตตาภาวนา
พระอาจารย์ชนกาภิวงศ์ รจนา
พระอาจารย์คันธสาราภิวงศ์ แปล
พิมพ์แจกเมื่อปี 2541 โดยคุณประวิทย์ ธนาวิภาส
คนไทยมีคำกล่าวติดปากว่า "เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก" และอันที่จริงอาจกล่าวได้ว่าที่คนไทยมีนิสัยเป็นคนยิ้มแย้ม
ไม่คิดร้ายใครนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเมตตาธรรมที่ปลูกฝังกันมาแต่โบราณกาลด้วยอิทธิพลของพุทธศาสนานี่เอง
แม้ว่าผมเองจะเป็นนักเรียนวัด
คือวัดเทพศิรินทร์ (ตอนนั้นชื่อโรงเรียนคือ โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์จริงๆ
ตอนหลังจึงมาตัดคำว่าวัดออก) แต่ก็ไม่ค่อยได้คุ้นเคยกับพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนามากนัก
สมัยที่ผมเป็นนักเรียนอยู่นั้นมีคราวหนึ่งท่านอาจารย์ใหญ่ปรารภว่าควรจะให้นักเรียนไปฟังเทศน์ในพระอุโบสถ
จึงนมัสการให้ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสมาเทศน์ แล้วให้นักเรียนเดินแถวเข้าไปนั่งฟังเทศน์
แต่บรรดานักเรียนก็พูดคุยเฮฮากันเสียงเซ็งแซ่ อาจารย์ที่คุมไปจะห้ามอย่างไรนักเรียนก็ไม่ยอมหรี่เสียงคุยลง
ดังนั้นพระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาสก็เลยลุกจากที่นั่งกลับกุฏิ ไม่เทศน์ให้ฟัง
คราวนี้แหละครับ ตะลึงเงียบไปทั้งโบสถ์เลยทีเดียว ต่อจากนั้นไม่ต้องบอกก็ได้ว่าบรรดานักเรียนก็ถูกลงโทษกันไปตามระเบียบ
แล้วผมก็ไม่เห็นทางโรงเรียนพานักเรียนไปฟังเทศน์กันอีก ตกลงเราก็กลายเป็นคนใกล้เกลือกินด่าง
คือไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับธรรมะเอาเลย ส่วนที่ท่านอาจารย์นำมาสอนในวิชาศีลธรรมนั้น
ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมด หรืออาจจะไม่ทันเข้าหูก็ได้เพราะพวกเราเป็นกลุ่มที่จัดว่าเป็นบัวใต้น้ำ
ผมมารู้จักการแผ่เมตตา
ก็เมื่อมาเป็นนิสิตวิศวะแล้วไปสมัครเข้ากลุ่มพุทธศาสตร์ ซึ่งมีการเชิญท่านผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายธรรมให้ฟังอยู่เสมอ
และเมื่อบรรยายแล้วก็มีการแผ่เมตตาในตอนท้าย นั่นแหละที่ผมเริ่มรู้ว่าคำสวดแผ่เมตตาคืออะไร
แต่ก็รู้อยู่เพียงแค่นั้น จนกระทั่งเมื่อได้ศึกษามากขึ้นจึงพบว่าการแผ่เมตตานั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมากกว่าการสวดแผ่เมตตา
หรือ การคิดปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุขอย่างที่พูดกันทั่วไป อย่างไรก็ตามผมก็ยังหาตำราที่กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดไม่ได้
ลงท้ายผมจึงได้อ่านหนังสือเล่มนี้ซึ่งคุณประวิทย์
ธนาวิภาส พิมพ์แจก แล้วก็เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น นอกจากความเข้าใจมากขึ้นแล้ว
ยังทำให้ตนเองรู้ชัดขึ้นว่าแม้แต่เรื่องที่ดูง่ายๆ นี้อันที่จริงแล้วก็มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งอยู่เป็นอันมากทีเดียว
เมตตานั้นเป็นหนึ่งในธรรมที่นับเนื่องในพรหมวิหารสี่
หรือ ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่อาศัยของพรหม เมตตาคือความปรารถนาดีอย่างจริงใจ
มีไมตรีจิตต่อเพื่อนมนุษย์ กรุณา คือความสงสาร อยากให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ที่กำลังประสบอยู่
มุทิตา คือความพลอยยินดีในเมื่อพบเห็นผู้อื่นประสบความสุข ปราศจากความริษยาไม่พอใจ
และ อุเบกขา คือการวางเฉย ในเวลาที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้
เมตตามีสองประเภทคือ
เมตตาที่มีขอบเขตคือจำกัดตัวบุคคล และ เมตตาที่ไม่มีขอบเขตไม่จำกัดตัวบุคคล
การเจริญเมตตาก็คือการเจริญสมถกรรมฐาน
โดยมีเหล่าสัตว์ทั้งหลายในสากลโลก เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน อีกนัยหนึ่งก็คือ
การเจริญเมตตาพึงตั้งจิตปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์อย่างต่อเนื่องกันไป
ไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถอะไร เป็นระยะเวลานานสักหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
ระหว่างนั้นเมื่อเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นให้รีบมีสติรับรู้แล้วดึงจิตให้กลับมาสู่การทำเมตตากรรมฐานต่อไป
การเจริญเมตตากรรมฐานไม่ควรเริ่มต้นด้วยการแผ่เมตตาไปยังคนหกจำพวกคือ
1. มิตรสหายที่สนิทสนม
2. คนที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคย
3. ผู้ที่เราไม่พอใจ
4. ศัตรูของเรา
5. เพศตรงข้าม
6. คนที่ล่วงลับไปแล้ว
หากเราแผ่เมตตาไปยังคนเหล่านี้
อาจจะทำให้จิตใจหวนระลึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อ งและทำให้เกิดความทุกข์ใจหรือความกำหนัด
จนไม่อาจเจริญกรรมฐานต่อไปได้
การเจริญเมตตากรรมฐานควรพิจารณาบุคคลห้าจำพวกต่อไปนี้ตามลำดับ
1. คนที่เราเคารพนับถือ
2. มิตรสหายที่สนิทสนม
3. คนที่เราวางเฉย
ไม่รักไม่ชัง
4. คนที่เราไม่พอใจ
5. ศัตรูของเรา
นั่นก็คือเมื่อเราได้แผ่เมตตาจนกระทั่งอำนาจสติของเราเข้มข้นขึ้นแล้ว
การที่แผ่เมตตาไปยังบุคคลอื่นแม้ผู้ที่เราไม่พอใจ หรือ ศัตรูของเราก็จะไม่เกิดการรบกวนหรือเกิดโทสะขึ้น
การเจริญเมตตามีอานิสงค์มาก
หากเจริญอย่างถูกวิธีแล้ว แม้ศัตรูก็อาจกลับเป็นมิตรได้ ดังมีตัวอย่างให้เห็นหลายรายในหนังสือนี้
นอกจากนั้นการเจริญเมตตากรรมฐานยังทำให้ผู้นั้นบรรลุถึงองค์ฌาณได้ด้วย
อย่างไรก็ตามฌาณสูงสุดที่จะบรรลุได้คือตติยฌาณเท่า
ข้างต้นนี้ก็คือ
คำบรรยายธรรมสั้นๆ ของพระอาจารย์ชนกาภิวงศ์ซึ่งเป็นเจ้าสำนักกรรมฐานเซมเย่
นครย่างกุ้ง ประเทศพม่า หนังสือที่ผมนำมาเล่าให้ฟังเล่มนี้อาจจะหาอ่านได้ยาก
หากใครสนใจก็คงจะต้องติดต่อไปที่คุณประวิทย์ ธนาวิภาส เลขที่ 1856/36
ถนนเจริญนคร แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน กทม 10600 ท่านอาจจะยังมีหนังสือเหลืออยู่ก็ได้
|