คืนชีวิตสู่ความเรียบง่าย
เฮเลน เซนต์ เจมส์ เขียน นุชจรีย์ ชลคุป แปล
สำนักพิมพ์ มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2543
ยิ่งโลกเคลื่อนใกล้ยุคโลกาภิวัตน์มากขึ้น
ประเทศ ชุมชน สังคม ครอบครัว และชีวิตของคนทุกคนก็มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น
ทุกวันนี้เราถูกบังคับให้ต้องทำอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นโดยไม่จำเป็น เราถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนจำนวนมากโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อชีวิต
เมื่อปลายปีที่แล้วเราต้องรับฟังปัญหาการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งๆ ที่ในชีวิตของเรานี้จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมือหรือได้เห็นตัวตนจริงๆ
ของประธานาธิบดี บุช หรือ คู่แข่ง อัล กอร์ คนไทยจำนวนมากต้องถูกดึงเข้าไปพูดคุยเรื่องผลการตัดสินคดีของ
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ โดยการพูดของแต่ละคนก็ไม่มีใครทราบความจริง เพราะต่างก็ได้รายละเอียดมาจากหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนเท่านั้น
ข้อมูลข่าวสารที่เพิ่มมากจนทำให้เกิดสภาวะ
ข่าวสารท่วมท้นชีวิตของเรานั้นไม่ได้มาในรูปแบบของข่าวจากสื่อมวลชนเท่านั้น
หากยังมีแผ่นพับโฆษณาที่ส่งตรงมาให้เราถึงบ้าน มีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลข่าวสารทั้งที่จริงและเท็จ
มีเอกสารประกอบการสัมมนาจำนวนมากที่เราอาจต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
และมีหนังสือเกี่ยวกับซอฟต์แวร์อีกจำนวนมากที่เราต้องมีไว้ประกอบการใช้งาน
ในขณะที่ซอฟต์แวร์สำเร็จแต่ละอย่างก็ได้รับการปรับปรุงให้ซับซ้อนมากขึ้น
และแน่นอนที่สุด แพงมากขึ้น ไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เองชีวิตของเราจึงซับซ้อนมากขึ้น
ต้องหาของใช้ที่ไม่จำเป็นมาใช้มากขึ้น มีทั้งเพจเจอร์ โทรศัพท์มือถือ
ออร์แกไนเซอร์ คอมพิวเตอร์แบบพาล์ม คอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
นอกจากนั้นยังต้องเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วย นี่ยังไม่นับอุปกรณ์อำนวยความบันเทิงนานัปการ
ทั้ง วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดิทัศน์
เครื่องเล่นซีดีภาพ เครื่องเล่นเลเซอร์ดิสก์ กล้องถ่ายภาพธรรมดา กล้องถ่ายภาพดิจิทัล
กล้องถ่ายภาพวีดิทัศน์ ฯลฯ
เมื่อต้นปี
2543 มีคำสั่งจากคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานทั้งหลายนำหลักการ 5 ส. มาใช้ในหน่วยงาน
เพื่อให้ห้องทำงาน และ กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญ
5 ส. อย่างเช่น ดร. ปริทรรศน์ พันธุ์บรรยงก์ ผู้อำนวยการ ศูนย์โลหะและวัสดุแห่งชาติ
เห็นห้องทำงานของผมแล้วก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะสะสางอย่างไร แน่นอนไม่มีอะไรที่สะสางไม่ได้
แต่การสะสางนั้นจะต้องใช้ตัดใจทิ้งสิ่งของที่ไม่ต้องการออกไปมาก ปัญหาก็คือความรู้สึกเสียดายของที่มีอยู่
หนังสือ
คืนชีวิตสู่ความเรียบง่าย เป็นหนังสือที่มีความเรียบง่ายจริงๆ
เพราะประกอบด้วยบทย่อยๆ ถึง 98 บท แต่ละบทสั้นๆ แสดงเนื้อหาตรงประเด็นที่ต้องการบอก
นั่นคือจะทำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายได้อย่างไร
ชีวิตที่เรียบง่ายในทัศนะของผู้เขียนนั้นประกอบด้วย
การตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตที่เรียบง่าย โยนภาระต่างๆ ที่ไม่จำเป็น
หรือที่จะไม่นำไปสู่ชีวิตที่ดีงามออกทิ้ง กำจัดสิ่งของที่สะสมที่ไม่จำเป็นออกทิ้งหรือมอบให้ผู้อื่นไป
ทำบ้านและที่ทำงานให้โปร่งเบา ไม่มีสิ่งของที่มากล้นเกินความต้องการ
เลือกเครื่องแต่งกายที่เหมาะสม ฯลฯ
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผมคิดว่านี่ก็คือ
ชีวิตแบบชาวพุทธ เพราะพุทธศาสนาสอนให้เรามีชีวิตที่มีเป้าหมาย นั่นก็คือการมี
ศีล สมาธิ และ ปัญญา สอนไม่ให้เราต้องเป็นทาสของบริโภคนิยม สอนไม่ให้เราสะสมสิ่งอื่นใดนอกจากบุญและกุศล
ปัญหาคือ
เราจะทำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายได้อย่างไร เอเลน แนะนำว่าวิธีเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุด
ก็คือตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตของเราเรียบง่าย จากนั้นก็ใช้เวลาใคร่ครวญการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา
ว่าจะทำให้งานในแต่ละวันนั้นยุ่งยากน้อยลงได้อย่างไร อีกนัยหนึ่งเราจะต้องแน่วแน่
จากนั้นก็เริ่มคิดว่าอะไรบ้างที่จะต้องทำเพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น
การตอบคำถามที่เอเลนแนะนำนั้น
อาจนำไปสู่การปฏิวัติใหญ่ในชีวิตถึงขั้นที่จะต้องเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนที่อยู่
นี่เป็นเรื่องที่คนไทยอาจจะทำไม่ได้โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจอย่างในปัจจุบัน
ผมมีเพื่อนสูงอายุหลายคนที่ขายบ้านใหญ่โตแล้วนำเงินไปซื้อห้องในคอนโดมิเนียมอยู่เพราะไม่ต้องการเสียเวลาดูแลห้องหับในบ้าน
แน่นอนชีวิตของเขาย่อมจะเรียบง่ายขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว
การทำให้ชีวิตเรียบง่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เพราะในหลายกรณีเป็นการก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อจะเดินหน้าไปสองก้าว
การขายของที่มีอยู่เกินความจำเป็นออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเราที่ไม่มีระบบแบบ
Garage Sales หรือ ไม่มีประสบการณ์กับการเปิดท้ายขายของ เอเลน เล่าถึงการกำจัดหนังสือที่มีมากเกินความต้องการออกไปจากชีวิต
ด้วยการบริจาคให้ห้องสมุดสาธารณะ หากต้องการอ่านเมื่อใดก็สามารถจะไปยืมมาอ่านได้
ผมเองก็มีหนังสืออยู่มาก เคยบริจาคออกไปแล้วครั้งหนึ่งเป็นจำนวนหลายพันเล่ม
แต่การไปยืมกลับมาอ่านนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การบริจาคสิ่งที่มีเกินพอออกไปนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง
แต่การพยายามฝืนไม่ซื้อสิ่งของอื่นๆ มาเพิ่มสิ่งที่มีอยู่แล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เอเลนแนะนำว่าวิธีที่ได้ผลก็คืออย่าซื้อทันทีที่เห็น แต่ให้จดรายการที่คิดว่าอยากได้นั้นลงบนกระดาษ
จากนั้นอีกหนึ่งเดือนให้ย้อนกลับมาพิจารณาว่าเราต้องการจะซื้อของเหล่านั้นไปเพื่ออะไร
หากเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นจริงก็ให้ซื้อ วิธีนี้มีประโยชน์ดี น่าจะลองใช้ดูบ้าง
การทำให้ชีวิตเรียบง่ายไม่ได้มีแต่การกำจัดของที่ไม่ต้องการออกไปเท่านั้น
ยังมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาอยู่อีก นั่นก็คือเรื่องภายในของตนเอง
และเรื่องชีวิตประจำวัน นับตั้งแต่การทำให้การใช้บัตรเครดิตเป็นเรื่องง่าย
การทำเตียงนอนอย่างง่าย การจัดการกับโทรศัพท์ที่ไม่พึงปรารถนา การใช้อีเมล์แบบง่าย
การทำอาหารแบบง่าย ฯ และที่สำคัญที่สุดการเลี้ยงดูบุตรหลานให้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและชื่นชอบกับชีวิตที่เรียบง่ายได้
อันที่จริงแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้หากต้องการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
แต่หนังสือนี้ช่วยชี้ประเด็นต่างๆ นานาที่เราอาจจะหลงลืม หรือไม่ทันได้คิด
ผมเชื่อว่าหากคนไทยในยุคเศรษฐกิจล่มสลาย
เป็นหนี้เป็นสินชนิดที่ต้องชดใช้กันไปอีกหลายชั่วชีวิตจะพยายามใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามแนวคิดในหนังสือนี้ได้แล้ว
บางทีเราอาจจะสามารถใช้หนี้สินต่างประเทศได้เร็วขึ้น และ ทำให้ประเทศของเรากลับเข้มแข็งขึ้นใหม่ในความเรียบง่ายได้
|