การปฏิรูประบบราชการ:
ยุทธศาสตร์สำคัญของการเปลี่ยนแปลง
สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
สำนักงาน ก.พ. 2541
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปัญหาสำคัญของประเทศของเราอย่างหนึ่งก็คือ
ความอุ้ยอ้ายล่าช้าของระบบราชการ พวกเรามีประสบการณ์บ่อยครั้งเวลาติดต่อกับหน่วยงานราชการว่า
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามาก ยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินทองด้วยแล้ว
กว่าหน่วยงานราชการจะยอมจ่าย หรือชำระเงินที่เป็นหนี้อยู่นั้น ต้องใช้เวลานานมาก
จนกระทั่งบริษัทที่เป็นเจ้าหนี้เกือบจะ....... ที่น่าแปลกใจก็คือความล่าช้านี้เกิดขึ้นทั้งๆ
ที่หน่วยงานราชการแต่ละแห่งมีข้าราชการทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อทำงานเชื่องช้าทั้งๆ
ที่มีคนจำนวนมาก จึงเป็นธรรมดาที่หน่วยงานราชการจะไม่มีประสิทธิภาพ
เพราะต้องกันงบประมาณจำนวนมากเอาไว้เป็นเงินเดือน จนกระทั่งไม่เหลือไว้สำหรับการพัฒนาหน่วยงานให้ก้าวทันยุคสมัย
สุดท้ายหน่วยงานราชการก็ตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าป่วยหนักจนต้องเยียวยาแก้ไขอย่างรีบด่วน
และนั่นคือที่มาของการปฏิรูประบบราชการ
คำว่าปฏิรูปนั้นเดิมทีหมายถึง
reform คือการปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสม แต่ปฏิรูปในยุคนี้มีความหมายถึง
reengineering ซึ่งคือการปรับเปลี่ยนการทำงานอย่างขนานใหญ่ (radical
change) ดังที่ ดร. เฉลิม ศรีผดุง รองเลขาธิการคณะกรรมการปฏิรูปฯ ได้กล่าวไว้ในบทความสุดท้ายที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ว่า
การปฏิรูปก็คือการเปลี่ยนแปลง และต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ดร.เฉลิมเห็นว่า "เราต้องหยุดคิดถึงเรื่องอดีต คิดถึงอนาคตซึ่งไม่ใช่เส้นทางที่ต่อเนื่องจากอดีต
หรืออาจไม่มีเส้นทางเลย ที่แน่ๆ ก็คือไม่ใช่เรื่องต่อเนื่องจากอดีต"
ผมเองเห็นด้วยว่าอนาคตนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
ดังที่เราได้เห็นกันในช่วงยี่สิบปีมานี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงชนิดที่เราคาดไม่ถึงเกิดขึ้นมากมาย
ไม่ว่าความสามารถที่จะตามหาบุคคลสักคนหนึ่ง หรือการพยายามติดต่อสื่อสารกับคนผู้นั้นไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด
อาจสามารถทำได้ง่ายดายโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบต่างๆ แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยไปหมดทุกเรื่องว่าอนาคตจะไม่ต่อเนื่องกับอดีต
ผู้ที่นำเสนอเรื่องนี้เช่น ไมเคิล แฮมเมอร์ หรือ ปีเตอร์ เซงเก อาจจะพูดถูกเฉพาะในสังคมอเมริกันซึ่งประชาชนโดยรวมมีระดับการศึกษาค่อนข้างดี
และมีรากฐานความคิดทางการเมือง แบบประชาธิปไตยมาเป็นเวลากว่าสองร้อยปี
แต่สำหรับเมืองไทยซึ่งสังคมยังมีลักษณะแบบเจ้าขุนมูลนาย เชื่อถือไสยศาสตร์
และ โชคลาง การพยายามปฏิรูปหรือกระโดดไปสู่ความเจริญโดยไม่คำนึงถึงอดีตย่อมเป็นไปไม่ได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือเรื่องของประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในไทยเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว
แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนตระหนักถึงความหมายของประชาธิปไตยได้ชัดเจน
ในทางหนึ่งประชาชนยังคงมีความรู้สึกแบบสุดโต่งว่าต้องพินอบพิเทาข้าราชการและนักการเมืองที่เข้ามาปกครอง
และต้องยินยอมทำตามคำบัญชาของคนที่เป็น "เจ้าขุนมูลนาย"
โดยไม่ปริปาก แต่อีกทางหนึ่งประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ก็ถูกปลุกปั่นให้มีความรู้สึกแบบสุดโต่งอีกว่า
การดำเนินงานทั้งหมดของหน่วยงานภาครัฐเป็นการข่มเหงราษฎร และ ประชาชนจะต้องรวมกันต่อต้านโดยอาศัยความรุนแรง
ผมเห็นว่า
ปัญหาของเราในขณะนี้ก็คือการขาดความรู้ทางสังคมไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการระดับกลาง
ที่จะต้องเป็นผู้ให้บริการประชาชน นี่รวมทั้งข้าราชการผู้ทำงานในท้องที่และที่อยู่ในส่วนกลาง
เมื่อขาดความรู้ที่ถูกต้อง การสั่งการให้ดำเนินการเรื่องต่างๆ จึงไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง
และทำให้เกิดการฉ้อฉลขึ้นได้ทุกระดับ
ด้วยเหตุนี้การปฏิรูประบบราชการให้ได้ผลจึงต้องเข้าใจประวัติความเป็นมาของการปฏิบัติราชการด้านต่างๆ
อย่างชัดเจนก่อน ต้องเข้าใจว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีการบัญญัติไว้นั้นเป็นไปเพื่ออะไร
และจะลดขั้นตอนลงได้อย่างไร ผมไม่เห็นด้วยกับการสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ของเก่าโดยไม่ได้ทราบว่าของเก่ามีไว้เพื่ออะไร
ยกตัวอย่างเช่น คณะกรรมการปฏิรูปฯ ได้เสนอให้มี พระราชบัญญัติองค์การมหาชนเมื่อ
พ.ศ. 2541 แต่นี่ก็เป็นการแก้ปัญหาเก่าโดยการสร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายเรื่อง
นี่ยังไม่รวมถึงการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้สร้างปัญหาอีกมหาศาล
การปฏิรูประบบราชการเป็นเรื่องใหญ่ที่หน่วยงานต่างๆ
จะต้องทำความเข้าใจและเห็นด้วยในนโยบายและทิศทาง เมื่อสมัยที่คุณชวน
หลีกภัยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 นั้น
ได้กำหนดสาระสำคัญของการปฏิรูประบบราชการไว้ดังนี้
- ปรับปรุงโครงสร้างและระบบงานของกระบวนการยุติธรรม
- ปรับปรุงระบบงานภาคราชการและรัฐวิสาหกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นธรรม
โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม
- ปรับปรุงคุณภาพบุคลากรภาครัฐโดยเน้นผลงาน
ความซื่อสัตย์สุจริต และ จิตสำนึกในการให้บริการประชาชน
- เร่งรัดการจัดตั้งกระบวนการตรวจสอบในกรณีการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในวงราชการและวงการเมือง
- เร่งรัดการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น
- ลดบทบาทภาครัฐและสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการดำเนินการ
- เร่งรัดการปรับปรุง
หรือเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และขจัดความไม่เป็นธรรมในสังคม
คุณหญิงทิพาวดี
เมฆสวรรค์ เลขาธิการ ก.พ. ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิรูประบบราชการว่าเป็นไปเพื่อ
- ให้ราชการเป็นกลไกและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล
- เสริมสร้างสมรรถนะของประเทศในการแข่งขันระดับเวทีโลก
- สร้างความโปร่งใส
ความตรงไปตรงมา ในการปฏิบัติราชการ
- ให้ราชการประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความสามารถ
- สร้างวัฒนธรรมและคุณค่าใหม่ในวงราชการ
คุณหญิงทิพาวดีเห็นว่า
การปฎิรูปจะทำได้โดยการ
- ปรับปรุงบทบาทของภาครัฐโดยเน้นเฉพาะเรื่องที่จำเป็นและทำได้ดีเท่านั้น
- ปรับปรุงระบบบริหารโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์
- ปรับปรุงโครงสร้างให้ชัดเจน
เช่นแยกหน่วยงานปฏิบัติออกจากหน่วยงานกำหนดนโยบาย
- ปรับปรุงกลไกและกฎเกณฑ์
เพื่อเอื้ออำนวยให้ผู้บริหารมีอิสระในการบริหาร และ มีการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใส
- ปรับปรุงระบบข้าราชการ
เพื่อให้ได้ข้าราชการที่มีคุณภาพและคุณธรรม
- ปรับปรุงวัฒนธรรมและค่านิยมของระบบราชการ
โดยการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นความสามารถและผลงาน สุจริต มีความคิดสร้างสรรค์
และ กล้าคิด กล้าทำ กล้าเสี่ยง เพื่อสิ่งใหม่ที่ดีกว่า
- ปรับปรุงระบบเทคโนโลยีโดยการนำไอทีมาใช้
บทความในหนังสือเล่มนี้ยังมีอีกหลายบทที่น่าอ่านและนำเนื้อหาไปขบคิด
ยกตัวอย่างเช่น วราภรณ์ รุจิวิวัฒนกุล ได้ตั้งคำถามว่าบทบาทของรัฐในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร
หลังจากได้อ้างถึงข้อคิดเห็นของนักวิชาการตะวันตกแล้ว วราภรณ์ได้สรุปแนวคิดของคณะกรรมการปฏิรูปฯ
เกี่ยวกับภารกิจของรัฐเป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
- ภารกิจที่เป็นหน้าที่ของส่วนราชการ
- ภารกิจที่เป็นหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจ
- ภารกิจที่เป็นหน้าที่ขององค์กรมหาชน
- ภารกิจที่ให้องค์กรท้องถิ่นดำเนินการ
- ภารกิจที่ให้ธุรกิจเอกชนดำเนินการ
- ภารกิจที่ให้องค์กรเอกชนดำเนินการ
กล่าวโดยทั่วไปผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมสาระสำคัญของแนวคิดในการปฏิรูประบบราชการเอาไว้ค่อนข้างมาก
แม้ว่าไม่มีผู้เขียนบทความท่านใดกล่าวถึงวิธีการดำเนินการอย่างชัดเจน
แต่ก็พอจะมองเห็นแนวทางว่าคณะปฏิรูปต้องการให้เกิดองค์การมหาชน ให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น
และให้เอกชนเข้ามารับภาระงานจากราชการไปมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการปฏิรูประบบราชการเป็นเรื่องใหญ่
และมีปัญหาที่จะต้องขบคิดอีกมาก ดังนั้นจึงต้องคอยติดตามดูว่าการปฏิรูประบบราชการจะไปลงเอยอย่างไร
|