เพลินเพื่อรู้
ศ. ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ผู้บันทึกประสบการณ์
บริษัท พี เพรส จำกัด 2542
174 หน้า ราคา 120 บาท
คำว่า
เพลิน ในหนังสือที่อาจารย์ชัยอนันต์เขียนในช่วงสองปีนี้เป็นคำพิเศษที่อาจารย์คิดขึ้นเองจากคำว่า
Play + Learn จึงกลายเป็น Plearn หรือคือเพลินนั่นเอง
เหตุผลที่คิดคำนี้ขึ้นก็เพราะอาจารย์มองเห็นว่าการเรียนทุกวันนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อ
หากจะทำไม่ให้น่าเบื่อก็ต้องเปลี่ยนเป็นการเล่น และคนไทยก็ใช้คำว่าเล่นในเรื่องมากมายหลายอย่าง
เช่น เล่นสแตมป์ เล่นการเมือง คำว่าเล่นที่ใช้กันอยู่นั้นความจริงแล้วเป็นเรื่องที่จริงจังมาก
ด้วยเหตุนี้เมื่อนำเอาคำว่าเล่นมาใช้กับการเรียนก็จะเหมาะกว่า และจะทำให้เพลิดเพลินได้
แนวคิดของอาจารย์ชัยอนันต์นั้นน่าสนใจมาก
และอาจจะเป็นแนวทางที่จะช่วยปฏิวัติให้การเรียนรู้ของเด็กไทยได้ผลดีมากขึ้น
ลงท้ายคนไทยก็คงจะเก่งมากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้
หนังสือนี้เปิดด้วยการบอกเล่าความปรารถนาของอาจารย์ว่าต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการศึกษาให้เป็นกิจกรรมที่เด็กๆ
มีความสุข เพลิดเพลิน แทนที่จะเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดความทุกข์
ความเครียด ความเบื่อหน่าย อาจารย์เห็นว่าการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้นั้น
มีประเด็นพิจารณาสามประเด็นคือ ทำไมจึงต้องมีการปฏิรูปการเรียนรู้
อะไรเป็นเรื่องที่ต้องปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และ จะทำอย่างไรจึงจะปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย
ผมคิดว่าอาจารย์ถามประเด็นเหล่านี้ได้ถูกแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกคำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญเหมือนกัน
นั่นก็คือ ใครจะเป็นผู้ดำเนินการปฏิรูป
อาจารย์ชัยอนันต์เห็นว่า
สาเหตุที่ทำให้เราต้องปฏิรูปการเรียนรู้ก็เพราะมีอุปสรรคและข้อจำกัดของระบบการศึกษา
10 ประการคือ
- ระบบการศึกษาปัจจุบันแบ่งเด็กเป็นระดับต่างๆ
ไม่ได้คละกัน
- หลักสูตรและตำราที่ใช้บังคับทั่วประเทศมีลักษณะเป็นระบบรวมศูนย์
- มีการจัดแบ่งเวลาโดยอาศัยตารางการสอนรายวิชาสลับกันไป
- มีการวัดและประเมินผลโดยเน้นการสอบตัวความรู้มากกว่าที่จะนำทักษะการรู้และทักษะชีวิตมาพิจารณาด้วย
- เป็นระบบที่มุ่งสู่การคัดบุคคลจำนวนน้อยเข้าสู่ชั้นสูงของการศึกษา
คือมีฐานกว้างแต่ปลายแคบ
- การจัดแบ่งตัวความรู้
มีการกระจายตัวออก ขาดการเชื่อมโยงและบูรณาการ
- ใช้ระยะเวลายาวนานคือ
12 ปี และอีก 4 ปี ในมหาวิทยาลัย
- เน้นกระบวนการสอนแบบสั่งมากจนเกินไปและไม่เข้าใจว่ากระบวนการเรียนรู้แบบเด็กเป็นศูนย์กลาง
คืออะไร จะทำได้อย่างไร ในเรื่องใดบ้าง การสอนน่าเบื่อไม่สนุกเพลิดเพลิน
- ผู้สำเร็จการศึกษามีคุณภาพและความสามารถต่ำ
- ขาดความเข้าใจในความหมายของคำว่า
"ยุทธศาสตร์"
อาจารย์ชัยอนันต์ได้อธิบายต่อไปว่า
"การรู้ของมนุษย์เรามีหลายขั้นตอน หลายระดับ และในระยะเวลาหนึ่งการรั้วความรู้ต่างๆ
มาจากการสอน การแนะ การทำให้เห็น การมีประสบการณ์โดยตรงโดยไม่มีการสอน
ไม่มีการแนะ การดูแบบอย่างและเอาอย่าง ดังนั้น การสอน (teaching) จึงเป็นวิธีการหนึ่งในหลายๆ
วิธีที่มนุษย์เราใช้ในการรู้ เพื่อเข้าถึงตัวความรู้ การสอนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการรู้
(knowing)"
อาจารย์เห็นว่าการรู้กับความรู้นั้นไม่เหมือนกันทีเดียว
แต่เกี่ยวกันเสริมกัน และต้องมีอยู่ควบคู่กันไปเสมอ แนวคิดของอาจารย์ในลักษณะนี้คล้ายกับที่ท่านอาจารย์ดร.สิปปนนท์
เกตุทัตเคยเสนอเป็นความเห็นไว้ว่า เราควรแยกระหว่างองค์ความรู้กับกระบวนการหาความรู้ออกจากกัน
และต้องให้ความสำคัญต่อกระบวนการหาความรู้มากกว่าองค์ความรู้
เรื่องที่กำลังกล่าวถึงนี้ค่อนข้างซับซ้อน
และหนักไปทางด้านทฤษฎี ผมเองเห็นพ้องกับอาจารย์ชัยอนันต์มากกว่า เพราะเห็นว่าทั้งการหาความรู้และองค์ความรู้จะต้องไปด้วยกัน
ในการเสาะแสวงหาความรู้นั้น
อาจารย์ชัยอนันต์เห็นว่าทั้งครูและเด็กจะต้องมีทักษะสำคัญสามอย่างคือ
- ทักษะทางภาษา
(ทั้งไทยและอังกฤษ)
- ทักษะทางการคิด
- ทักษะทางการใช้คอมพิวเตอร์
ในด้านการปฏิรูปการศึกษาให้เด็กเรียนได้ด้วยความเพลิดเพลินนั้น
อาจารย์ชัยอนันต์ให้ความเห็นว่า "การเรียนรู้ที่เพลิดเพลิน เหมือนกับการจุดไฟ
และเมื่อไฟติดแล้ว ความเพลิดเพลินก็เหมือนลมที่พัดไม่ให้ไฟมอดดับ เพราะไฟนั้นติดในหัวใจเด็กแล้ว
แต่การเรียนรู้ที่น่าเบื่อนั้นเหมือนกับ การเติมน้ำลงในแก้วหรือในถัง
ความรู้ที่ครูเติมให้เด็กจนเต็มล้นปรี่ออกมา ย่อมสู้ไฟที่ลุกอยู่ตลอดไม่ได้"
และ "การเรียนรู้ที่เพลิดเพลิน คือ การเปิดโอกาสให้เด็ก คิดเอง
สร้างเอง โดยมีครูร่วมชี้แนะ" อีกนัยหนึ่งก็คือใช้หลักการ Constructionism
ซึ่ง เซย์มัวร์ พาเพิรต อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาแห่งเอ็มไอทีเป็นผู้คิดขึ้น
และทาง โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ได้นำหลักการนี้มาฝึกอบรมให้อาจารย์ของโรงเรียนนำไปใช้กับเด็กๆ
ภาคสองของหนังสือเล่มนี้จึงเป็นการเล่าประสบการณ์ของการนำแนวคิดใหม่นี้มาใช้ที่โรงเรียน
โดยอาจารย์รวม 8 ท่านได้มาถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้สึกในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนจากวิธีเดิมมาเป็นการสอนให้นักเรียนคิด
และ ทำด้วยตนเอง ประสบการณ์แต่ละเรื่องนั้นน่าสนใจมาก มีทั้งการสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนสนุก
แต่ก็ล้มเหลวเพราะนักเรียนไม่สามารถจำคำศัพท์อะไรได้มากนัก นี่แสดงให้เห็นว่าการนำแนวคิดใหม่ๆ
มาใช้นั้นจำเป็นจะต้องศึกษาให้เข้าใจ และอาจจะต้องลงมือทดลองว่าใช้ได้จริงหรือไม่
การสอนเรื่องต่างๆ ไม่ได้ล้มเหลวไปหมด เพราะส่วนมากก็ทำให้เด็กได้รับความเพลิดเพลินตรงตามที่อาจารย์ชัยอนันต์อยากเห็น
กล่าวโดยรวม
ผมเห็นว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่านมาก เราจะได้เห็นความพยายามของอาจารย์ชัยอนันต์
ที่ปัจจุบันหันมาใช้ชีวิตคิดค้นหาแนวทางที่จะปรับปรุงสถานศึกษาเก่าของท่าน
ให้สามารถผลิตนักเรียนที่มีความสามารถ และทำอะไรๆ เป็นจริงๆ ผมคิดว่าพวกเราต้องเอาใจช่วยท่าน
และถึงผมจะไม่ได้มาจากวชิราวุธ ผมก็อยากเห็นโรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนตัวอย่างในด้านการเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน
สำหรับเด็กๆ ในอนาคต
|