พหุปัญญาในห้องเรียน
โธมัส อาร์มสตรอง เขียน
อารี สัณหฉวี แปล
ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
2543 165 หน้า
คนโดยทั่วไปมีความฉลาดและความสามารถแตกต่างกัน
อมาดิอุส โมสาร์ทสามารถประพันธ์เพลงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยมาก ไทเกอร์
วูดส์ หรือเสือน้อยนั้นเพียงแค่ย่างเข้าวัยหนุ่มก็ชนะเลิศกอล์ฟรายการใหญ่ของโลกเสียแล้ว
นอกจากนั้นเรายังอาจจะได้ยินได้ฟังเรื่องของ นอร์เบิร์ต ไวน์เนอร์
ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ แห่งสถาบันเอ็มไอที ผู้เป็น child prodigy เนื่องจากจบปริญญาเอกจากฮาร์เวิร์ดเมื่ออายุเพียง
19 เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเด็กปัญญาเลิศอื่นๆ อีกหลายคนที่จบปริญญาเอกในวัยรุ่น
แม้เด็กไทยก็มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ด้วยเหมือนกัน
โมสาร์ท
และ วูดส์ ไม่ได้จบปริญญาเอกเหมือนไวน์เนอร์ ดังนั้นเราจึงอาจคิดว่าทั้งคู่คงจะไม่ได้มีปัญญาเอกอุเหมือนไวน์เนอร์
นั่นเป็นเพราะเราคิดกันเองว่าปัญญาของมนุษย์มีอย่างเดียวคือ ปัญญาในด้านการศึกษาวิชาการต่างๆ
แต่อันที่จริงแล้ว โธมัส อาร์มสตรอง กำลังบอกเราว่าไม่จริง มนุษย์มีปัญญาในด้านต่างๆ
อีกหลายด้าน และที่สำคัญที่เราควรสนใจก็คือปัญญาที่ต่างกันอยู่ 7 ด้าน
ผู้ที่เสนอแนวคิดว่ามนุษย์ทั่วไปมีปัญญาที่ต่างกันหลายด้านก็คือ
เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ ซึ่งกล่าวว่า "เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่เราควรรู้จักและส่งเสริมความฉลาดนานาชนิดของมนุษย์
ที่มนุษย์มีความแตกต่างกันก็เพราะเรามีความสามารถ ฉลาด แตกต่างกัน
ถ้าเรายอมรับเช่นนี้แล้ว เราจะสามารถแก้ปัญหาที่เราประสบในโลกนี้ได้มากขึ้น"
การ์ดเนอร์เรียกทฤษฎีของเขาว่า
ทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligence) และได้ระบุความสามารถหรือปัญญาของมนุษย์ออกเป็น
7 ด้านดังนี้
- ปัญญาด้านภาษา
(Linguistic Intelligence) หมายถึงความสามารถในการพูด และการใช้ภาษา
เช่น นักพูด นักการเมือง กวี นักเขียนบทละคร บรรณาธิการ นักหนังสือพิมพ์
- ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
(Logical-Mathematical Intelligence) หมายถึงความสามารถในการใช้ตัวเลข
เช่น นักบัญชี นักคณิตศาสตร์ นักสถิติ นักวิทยาศาสตร์ นักตรรกศาสตร์
นักเขียนโปรแกรม
- ปัญญาทางด้านมิติ
(Spatial Intelligence) หมายถึงความสามารถในการมองเห็นพื้นที่ เช่น
นายพราน ลูกเสือ ผู้นำทาง สถาปนิก มัณฑนากร ศิลปิน นักประดิษฐ์
- ปัญญาทางด้านร่างกายและความเคลื่อนไหว
(Bodily-Kinesthetic Intelligence) หมายถึงความสามารถในการใช้ร่างกายของตนแสดงความคิด
เช่น นักแสดง นักกีฬา ช่างแก้รถยนต์ ศัลยแพทย์
- ปัญญาทางด้านดนตรี
(Musical Intelligence) หมายถึงความสามารถทางด้านดนตรี ได้แก่ นักดนตรี
นักแต่งเพลง นักวิจารณ์ดนตรี
- ปัญญาทางด้านมนุษย์สัมพันธ์
(Interpersonal Intelligence) หมายถึงความสามารถทางด้านการเข้าใจอารมณ์
ความรู้สึก ความคิด และเจตนา ของผู้อื่น ได้แก่ บรรดาโหราจารย์ หมอดู
นักจิตวิทยา นักประชาสัมพันธ์
- ปัญญาทางด้านตนหรือการเข้าใจตนเอง
(Intrapersonal Intelligence) หมายถึงความสามารถทางด้านการรู้จักตนเอง
รู้ว่าตนมีจุดอ่อน จุดแข็งเรื่องใด มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด
และความปรารถนาของตนเอง
ปัญญาห้าข้อแรกนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ปัญญาสองข้อหลังนั้นเป็นปัญญาความสามารถที่คนอย่างพวกเราคงคิดไม่ถึง
ทฤษฎีพหุปัญญานั้นได้กล่าวถึงหัวข้อสำคัญที่เกี่ยวกับปัญญาทั้ง
7 ด้านไว้ดังนี้
- คนทุกคนมีปัญญาทั้ง
7 ด้าน แต่มีไม่เท่ากัน
- ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นถึงระดับที่ใช้การได้
นั่นคือหากคนเราฝึกฝนปัญญาเหล่านี้อย่างจริงจัง เราก็อาจจะเพิ่มความสามารถในด้านนั้นๆ
ได้
- ปัญญาด้านต่างๆ
ทำงานร่วมกันในวิธีที่ซับซ้อน คือแต่ละด้านมีปฏิสัมพันธ์กัน
- ปัญญาแต่ละด้านมีการแสดงความสามารถหลายทาง
อาร์มสตรองผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เห็นว่าคนทั่วไปควรรู้ว่าตนเองมีความสามารถด้านใด
และได้นำเอาแบบสอบถามตนเองมาลงพิมพ์ไว้ด้วย ผู้อ่านสามารถทดสอบตนเองได้ทันที
อันที่จริงแล้ว
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ทฤษฎีพหุปัญญาในด้านการเรียน
ในเรื่องนี้อาร์มสตรองเห็นว่าหากนักเรียนแต่ละคนได้รับการพัฒนาปัญญาความสามารถในด้านที่ตนถนัดแล้ว
ความสามารถนั้นก็จะโดดเด่นขึ้น เรื่องสำคัญอย่างแรกก็คือครูอาจารย์จะต้องรู้ว่านักเรียนของตนนั้นมีปัญญาด้านใด
ในเรื่องนี้อาร์มสตรองก็มีแบบสำรวจพหุปัญญาของนักเรียนมาให้ครูได้นำไปใช้ด้วยเหมือนกัน
เมื่อรู้ว่านักเรียนในชั้นมีพหุปัญญาด้านใดมาก
ด้านใดน้อย แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องง่ายที่ครูอาจารย์จะเตรียมการสอนให้เหมาะกับปัญญาความสามารถของนักเรียน
การกำหนดยุทธวิธีในการสอน การจัดสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมในโรงเรียน
ไปจนถึงการให้นักเรียนจัดทำแฟ้มผลงานให้เหมาะสมกับความสามารถของตน
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนหนังสือเด็กนักเรียน
ครั้งเดียวที่ผมเคยสอนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งนั้นนับเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมมีความรู้สึกว่าหากผมกลับไปสอนวิชาเดิมใหม่
ผมน่าจะทำได้ดีกว่า ทั้งนี้เพราะผมเริ่มเข้าใจความสามารถในด้านต่างๆ
ของมนุษย์มากขึ้น โดยแต่ก่อนนี้ผมคิดแต่เพียงว่า คนเรามีสองกลุ่มเท่านั้น
คือกลุ่มที่จะเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ได้ กับกลุ่มที่เรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้
ดังนั้นการสอนของผมจึงไม่ได้มุ่งที่จะยกระดับความรู้ของกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย
ผมขอเสนอแนะให้อาจารย์ทั้งหลายได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้
แต่ปัญหาก็คือหนังสือเล่มนี้พิมพ์ค่อนข้างจำกัดมากคือ 8,500 เล่ม อีกทั้งไม่มีวางจำหน่ายด้วย
ใครสนใจคงจะต้องติดต่อขอมาที่ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการเอาเอง
|