วิสัยทัศน์
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย 2020 : สถานภาพและยุทธศาสตร์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
สิงหาคม 2543 ราคา 100 บาท
กระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เป็นกระทรวงเล็กๆ ที่ไม่ได้รับความสนใจจากนักการเมืองมากนัก
ยกเว้นแต่ในเรื่องที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ และ รัฐมนตรีช่วยว่าการอยู่สองตำแหน่ง
อย่างน้อยก็ใช้ต่อรองได้เมื่อมีการแบ่งสรรโควต้ารัฐมนตรีระหว่างพรรค
รัฐมนตรีแต่ละท่านที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้นำกระทรวงวิทยา
ศาสตร์ฯ นั้น น้อยนักที่จะมีบทบาทผลักดันให้งานวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีของไทยก้าวหน้า
หรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หรือแม้กระทั่งส่งเสริมให้นักเรียนสนใจเข้ามาเรียนทางด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
ที่เห็นว่ามีการทำงานเหล่านี้อย่างจริงจังก็เฉพาะในสมัย ที่คุณดำรง
ลัทธพิพัฒน์เป็นรัฐมนตรีเท่านั้น และผลงานของท่านผู้นี้ก็ยัง มีผู้ระลึกถึงกันอยู่ในปัจจุบัน
คงเป็นด้วยเหตุนี้เองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศจึงไม่ ได้รับความนิยมสนใจจากบรรดาเยาวชน
นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป เพราะคิดกันว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น
เป็นเรื่องซับซ้อนและพ้นไปจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องของคนที่พยายามจะเดินทางไปนอกโลก
หรือลงไป สำรวจก้นมหาสมุทร หรือมิฉะนั้นก็ขลุกอยู่แต่ในห้องทดลองเท่านั้น
เพิ่งมาสมัยที่
ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง วิทย์ฯ ตั้งแต่ช่วงกลางปี
2542 เป็นต้นมานี่เอง ที่รัฐมนตรีท่านนี้ได้ผลัก ดันให้เกิดความสนใจในงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างจริงจัง
มากขึ้นในกลุ่มประชาชนทั่วไป นอกจากนั้นท่านยังได้เสนอว่างานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ
ประเทศที่ทำกันอยู่นั้นไม่มีทิศทาง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน อีกนัยหนึ่งผู้บริหารงานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยียังไม่ได้คิดกันว่าไทยควรมุ่งหน้าพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปทางด้านไหนบ้าง
ก็งานวิทยาศาสตร์นั้นมีมากมายหลายร้อยสาขา เป็นไปไม่ได้ ที่ประเทศไทยที่มีจำนวนนักวิทยาศาสตร์จำกัดจะไปพัฒนา
ความรู้ในทุกๆ ด้านให้ถึงระดับที่จะแข่งกับผู้อื่นได้ ดร. อาทิตย์
เห็นว่า เราน่าจะต้องกำหนดทิศทางที่จะก้าวเดินให้ชัดเจน หาแนวทางปฏิบัติให้ชัด
และกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินงาน ให้ได้
จากแนวคิดของท่านรัฐมนตรี
ดร. อาทิตย์ ได้ทำให้เกิดการประชุม สมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาครั้งแรกขึ้นที่
ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ที่บางนา เมื่อวันที่ 25-26 ตุลาคม
2542 ผลการประชุมผู้สนใจและเกี่ยวข้องร่วมหนึ่งพันคน ได้นำมาสู่การกำหนดว่าไทยควรพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
7 สาขา คือ สาขาเกษตร สาขาอุตสาหกรรมการผลิต สาขาอุตสาหกรรมการบริการ
สาขาสิ่งแวดล้อม สาขาการศึกษา วัฒนธรรม สุขอนามัย และ สวัสดิการ สาขา
พลังงาน และสาขาการสื่อสารและโทรคมนาคม นอกจากนั้นยังได้กำหนดยุทธศาสตร์
6 ด้าน คือ ด้านการวิจัย และพัฒนา ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านการพัฒนากำลังคนทางวิทยา
ศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ด้านการบริหารระบบ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ด้านสารสนเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หลังจากการประชุมแล้ว
คณะกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และแผน ยุทธศาสตร์แห่งชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พ.ศ. 2543 2563 ได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญหลายกลุ่มไปดำเนินการ จัดทำรายงานสถานภาพและทิศทางอนาคตของวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีไทย 7 สาขาขึ้นดังมีรายชื่อดังนี้
- สาขาเกษตร
ได้แก่ คุณปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา และ คณะ
- สาขาอุตสาหกรรมการผลิต
ได้แก่ นายเขมทัต สุคนธสิงห์
- สาขาการบริการและการพาณิชย์
ได้แก่ ดร. โอฬาร ไชยประวัติ และคณะ
- สาขาการศึกษา
วัฒนธรรม สุขอนามัย และ สวัสดิการ ได้แก่ ดร. พรชัย มาตังคสมบัติ
- สาขาสิ่งแวดล้อม
ได้แก่ ดร. มนตรี จุฬาวัฒนฑล
- สาขาพลังงาน
ได้แก่ ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ และ คณะ
- สาขาสื่อสารและโทรคมนาคม
ได้แก่ คุณพิชัย วาศนาส่ง และ คณะ
รายงานยุทธศาสตร์
6 ด้าน มีรายชื่อดังนี้
- ด้านการวิจัยและพัฒนา
ได้แก่ นพ. วิจารณ์ พานิช และคณะ
- ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ได้แก่ ดร. กอปร กฤตยรกีรณ และ คณะ
- ด้านการพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้แก่ ดร. ยงยุทธ์ ยุทธวงศ์ และคณะ
- ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้แก่ ดร. ประยูร เชี่ยววัฒนา
- ด้านการบริหารระบบการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้แก่ ดร. มาลี สุวรรณอัตถ์ และคณะ
- ด้านสารสนเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้แก่ ดร. ครรชิต มาลัยวงศ์
หนังสือที่นำมาแนะนำนี้จัดทำขึ้นในวาระการจัด
ประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาครั้งที่ 2 เมื่อวันที่
21 สิงหาคม 2543 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เนื้อหาของหนังสือแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน
ส่วนแรกก็คือ สารจาก ท่านรัฐมนตรี ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ และ ผู้อำนวยการ
สวทช. ดร.ไพรัช ธัชยพงศ์ ส่วนที่สองเป็นร่างกรอบวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์
ซึ่งเป็นการสรุปเนื้อหาที่ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสิบ สามกลุ่มที่ได้กล่าวถึงข้างต้น
โดยเริ่มจากการกล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดทำวิสัย ทัศน์ สภาพของปัญหา
ความต้องการในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน การแก้ปัญหา และ กรอบยุทธศาสตร์ที่นำเสนอ
และส่วนที่สามก็คือบทสรุปจาก รายงานของทั้ง 13 กลุ่ม
เป็นเรื่องยากมากที่จะนำเสนอและวิจารณ์ผลสรุปรายงานทั้ง
13 กลุ่มในที่นี้ เพราะเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือนี้ล้วนแล้ว แต่เป็นครีมที่ข้นไปด้วยสาระ
เนื้อหาแต่ละย่อหน้าล้วนมีเรื่องให้ต้องขบคิดและทำ ความเข้าใจอีกมากด้วยกัน
ดังนั้นผู้สนใจคงจะต้องเสาะแสวงหาหนังสือเล่มนี้มา ศึกษาเอาเอง อีกทั้งราคาก็ย่อมเยา
ไม่เหลือวิสัยที่จะหามาศึกษาได้
อย่างไรก็ตาม
เรื่องที่ควรจะอธิบายต่อไปก็คือ หนังสือเล่มนี้ ได้กลายเป็นเนื้อหาสำหรับการประชุมสมัชชาเพื่อรับฟังข้อ
วิจารณ์ต่างๆ ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่เชิญมา การประชุมเมื่อวันที่
21 สิงหาคมได้มีการเชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความ คิดเห็นว่าชอบข้อเสนอจากทั้ง
13 กลุ่มอย่างไรบ้าง มีอะไรขาดหายไปบ้าง มีอะไรที่ควรเพิ่มเติม เข้ามาอีกบ้าง
ผลการประชุมได้นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาบาง ส่วน ซึ่งก็ได้มีการนำไปวิจารณ์กันอีกครั้งหนึ่งเมื่อต้นเดือน
ตุลาคมที่ผ่านมานี้ ปัจจุบันนี้รายงานฉบับสุดท้ายของวิสัยทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ไทย: 2020 ได้เสร็จสิ้นแล้ว คาดว่าทาง สวทช. คงจะจัดพิมพ์รายงานเป็นรูป
เล่มออกมาอีกในอนาคต
|